ดาวโจนส์ปิดบวก 172 จุด S&P 500 – Nasdaq ทำสถิติสูงสุดใหม่

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดนิวไฮ ดาวโจนส์บวก 172 จุด หลังเฟดเริ่มผ่อนคลายมาตรการลดดอกเบี้ยลง สหรัฐฯ เดินหน้าเจรจาการค้า หุ้นเทคกลุ่ม Magnificent Seven ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 19 กันยายน 2568 รวมทั้งดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ทำสถิติสูงสุดใหม่( all-time high)อีกครั้ง จากการที่สหรัฐฯ และจีนเดินหน้าเจรจาการค้า และหุ้นเทคโนโลยีกลุ่ม Magnificent Seven ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 46,315.27 จุด เพิ่มขึ้น 172.85 จุด, +0.37%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,664.36 จุด เพิ่มขึ้น 32.40 จุด, +0.49%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,631.48 จุด เพิ่มขึ้น 160.75 จุด, +0.72%

ทั้งสามดัชนีหลักทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง ปิดท้ายสัปดาห์ด้วยบรรยากาศที่สดใส หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มผ่อนคลายมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยลง ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน โดยในรอบสัปดาห์นี้เพิ่มขึ้น 1.2% และ 2.2% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1% ถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน

หุ้นเทคโนโลยีกลุ่ม Mag 7 ต่างเพิ่มขึ้นตลอด 5 วันทำการจนถึงวันศุกร์ นำโดย Apple เพิ่มขึ้น 3.2% จากการวางจำหน่าย iPhone รุ่นล่าสุดของบริษัททั่วโลก และปิดสัปดาห์นี้พุ่งขึ้นเกือบ 5% หุ้นTesla เพิ่มขึ้นมากกว่า 2.2% และปิดสัปดาห์นี้เพิ่มขึ้นเกือบ 8% ขณะที่ Alphabet เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ในสัปดาห์นี้

มาร์ค แฮคเก็ตต์ หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาดของ Nationwide กล่าวว่า โดยปกติแล้วเดือนกันยายนจะเป็นเดือนที่มีการปรับฐานลงตามข้อมูลย้อนหลัง แต่ตลาดในปีนี้กลับสวนทางกับรูปแบบเดิม โดยปรับตัวสูงขึ้น 35% นับตั้งแต่เดือนมีนาคม ด้วยแรงหนุนทางเทคนิคและปัจจัย พื้นฐานที่แข็งแกร่ง

ในวันศุกร์นักลงทุนให้ความสนใจกับรายละเอียดจากการสนทนาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯโพสต์บน Truth Social หลังการเจรจาว่า “เรามีความคืบหน้าในประเด็นสำคัญหลายประเด็น รวมถึงการค้า เฟนทานิล ความจำเป็นในการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และการอนุมัติข้อตกลง TikTok”

รายละเอียดของข้อตกลง TikTok ซึ่งจะช่วยให้แอปโซเชียลมีเดียของ ByteDance ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน สามารถดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ต่อไปได้ท่ามกลางการห้ามที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น ยังไม่เป็นที่แน่ชัด วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานเมื่อวันอังคารว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มนักลงทุน ได้แก่ Oracle, Silver Lake และ Andreessen Horowitz จะเข้าถือหุ้น 80% ในบริษัท

ที่น่าสังเกตคือ บทสรุปการสนทนาระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิงในสื่อของรัฐบาลจีนไม่ได้ให้ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับข้อตกลง TikTok อย่างละเอียด นอกจากระบุว่าสี จิ้นผิงสนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงพาณิชย์ และต้องการชุดกฎระเบียบที่จะอนุญาตให้บริษัทจีนลงทุนในสหรัฐฯ

บทความในจีนยังระบุด้วยว่าสหรัฐฯ ควรหลีกเลี่ยงมาตรการทางการค้าที่เข้มงวดใหม่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยง “การบ่อนทำลาย” การเจรจาการค้าที่ผ่านมา

สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวอื่น ๆ หุ้น FedEx เพิ่มขึ้น 2.1% หลังรายงานกำไรและรายได้รายไตรมาสสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงเล็กน้อย ปิดท้ายสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลาย โดยได้รับแรงหนุนจากการตัดสินใจที่สำคัญของธนาคารกลางหลักๆ ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ตามที่คาดการณ์ไว้

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 554.12 จุด ลดลง 0.89 จุด, -0.16%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,216.67 จุด ลดลง 11.44 จุด, -0.12%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,853.59 จุด ลดลง 1.02 จุด, -0.01%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,639.41 จุด ลดลง 35.12 จุด, -0.15%

กลุ่มธนาคารยุโรปปรับตัวสูงขึ้น 1.26% ฟื้นตัวจากที่ตกลงในช่วงต้นสัปดาห์

หุ้นกลุ่มกลาโหมปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% ทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การปรับขึ้นโดยรวมถูกหักล้างด้วยกลุ่มสื่อที่ลดลง 2.4% สู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าสองสัปดาห์ ซึ่งถูกกดดันจากกลุ่มโฆษณา WPP ซึ่งปิดตลาดในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552

หุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 0.8% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงด้วยความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบจำนวนมาก

แม้ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม แต่แนวโน้มผ่อนคลายทางการเงินน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งบ่งชี้ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตที่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และไม่เร่งการผ่อนคลายทางการเงินอย่างเต็มรูปแบบ

แต่การเคลื่อนไหวครั้งนี้มากพอที่จะหนุนสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยียุโรปที่พุ่งสูงขึ้น และเป็นกลุ่มที่มีปรับตัวขึ้นดีที่สุดประจำสัปดาห์ด้วยการเพิ่มชึ้น 4.9%

แรงหนุนยังมาจากหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ในภูมิภาคที่ปรับตัวสูงขึ้น สอดคล้องกับหุ้นในตลาดโลก หลังจาก Intel และ Nvidia บรรลุข้อตกลงมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางนอร์เวย์ก็ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%ในสัปดาห์นี้ ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้เท่าเดิมในสัปดาห์นี้

แม้ความเชื่อมั่นดีขึ้นหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่การปรับขึ้นกลับไม่ได้กระจายตัวในวงกว้าง เนื่องจากความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่สูงในเศรษฐกิจยุโรปและผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังคงกดดันให้ตลาดหุ้นอยู่ในกรอบแคบๆ

ปัจจัยที่จะมีผลในระยะต่อไปอาจมาจากแรงกระตุ้นจากการใช้จ่ายทางการคลังที่รัฐบาลระดับภูมิภาคต่างรอคอยกันมานาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เยอรมนีได้อนุมัติงบประมาณประจำปีครั้งแรกของประเทศ นับตั้งแต่ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ทางการคลัง

ขณะเดียวกัน อิตาลีมีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดอันดับเครดิตเพิ่มจาก Fitch ซึ่งสะท้อนถึงเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศและฐานะการเงินสาธารณะที่กำลังฟื้นตัว

หุ้นบริษัทโลจิสติกส์ยุโรป Maersk และ Hapag-Lloyd ร่วงลง 5.9% และ 4.8% ตามลำดับ เนื่องจากนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีค่าระวางตู้คอนเทนเนอร์จะร่วงลงอย่างรวดเร็ว และเตือนว่าปริมาณการขนส่งทางเรือในสหรัฐฯ อาจลดลง

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 47 เซนต์ หรือ 0.73% ปิดที่ 64.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 52 เซนต์ หรือ 0.76% ปิดที่ 67.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล