“เอ็ม.ซี.เอส.สตีล” เผยยอมขายหุ้นคืน 27 ล้านหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ขาดทุนกว่า 95 ล้านบาท เหตุกระแสเงินสดไม่พอดำเนินธุรกิจ ขยายงานต่างประเทศ ทั้งคว้างานสนามบิน เฟส 2 รอส่งมอบไตรมาส 1/62 ต้องสำรองผลขาดทุนรับเงินล่าช้า ซ้ำลูกค้าขาดความมั่นใจหลังผู้บริหารระดับสูงลาออก ด้านเงินกู้แบงก์ดอกเบี้ยสูง
บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS) แจ้งเว่า บริษัทฯ ได้จำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนจำนวน 27 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 193.65 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยต่อหุ้นอยู่ที่ 7.17 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาทุนที่บริษัทได้ซื้อมารวมทั้งสิ้น 288.19 ล้านบาท และมีราคาเฉลี่ยต่อหุ้นที่ซื้อมาเท่ากับ 10.67 บาท/หุ้น ส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากการซื้อหุ้นคืนในโครงการนี้ประมาณ 95.54 ล้านบาท
สาเหตุที่นำหุ้นจำหน่ายคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.2561-20 ธ.ค.2561 เนื่องจาก ณ วันที่ 30 มิ.ย.61 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 945.69 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีความจำเป็นต้องซื้อโรงงาน และที่ดิน ของบริษัทย่อยในต่างประเทศ (M.C.S.-Japan Co Ltd.) จำนวนเงินลงทุนประมาณ 350 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2561 นี้ เพื่อมาสนับสนุนธุรกิจของบริษัทฯ ที่ต่างประเทศ
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้รับงานโครงการสนามบิน เฟส 2 (AOT Project) ประมาณ 20,000 ตัน โดยมีกำหนดส่งมอบงานภายในไตรมาส 1/2562 ซึ่งงานนี้จะมีผลต่อผลประกอบการของบริษัท เนื่องจากโครงการนี้จะมีผลขาดทุนรวมถึงการรับเงินที่ล่าช้า โดยในไตรมาส 3/2561 ทางบริษัทได้ตั้งสำรองผลขาดทุนบางส่วนที่อาจจะเกิดขึ้นไว้จำนวน 35.285 ล้านบาท
ขณะเดียวกันจากการที่บริษัทฯ เปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงในปี 2560 จำนวน 3 คน ทำให้ลูกค้าขาดความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดังนั้น งานที่บริษัทเคยรับไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี ลดลงอย่างมาก เนื่องจากเกิดความไม่มั่นใจต่อบริษัทส่งผลให้งานในปี 2562 มีจำนวนงานไม่มากพอ ซึ่งมีผลต่อกระแสเงินสดที่ใช้หมุนเวียนในกิจการในปี 2562
คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นจะต้องหาเงินทุนบางส่วนเพื่อมาใช้หมุนเวียนในกิจการ ซึ่งหากขอกู้จากธนาคารพาณิชย์ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยอยู่ที่ MLR ประมาณ 7% ต่อปี (ณ 31 ส.ค.2561) คณะกรรมการจึงได้พิจารณาหุ้นที่ซื้อคืนไว้ก่อนหน้านี้จำนวน 27 ล้านหุ้น ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ อย่างหนึ่งและหากบริษัทฯ ไม่จำหน่ายคืนจะต้องดำเนินการลดทุนในวันที่ 11 เม.ย.2562 คณะกรรมการจึงเห็นว่าการจำหน่ายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งในขณะนี้
นอกจากนี้คณะกรรมการเห็นว่า การจำหน่ายหุ้นคืนอาจจะเกิดผลกระทบกับราคาหุ้นในตลาด เนื่องจากราคาขณะนั้นประมาณ 7.35 บาท/หุ้น (ณ 19 ก.ย.2561) จึงมีมติให้ฝ่ายจัดการเข้าไปดำเนินการจำหน่ายหุ้น โดยกำหนดราคาขายไม่ต่ำกว่า 7 บาท/หุ้น และหากเห็นว่าราคาหุ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญให้ดำเนินการหยุดขายทันที ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุดของกิจการ ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบคอยและถี่ถ้วนในขณะนั้นแล้ว โดยเงินสดที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นเพื่อมาดำเนินธุรกิจของกิจการ
ทั้งนี้ บริษัทฯ เริ่มโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงินตามมติอนุมัติของคณะกรรมการเมื่อวันที่ 22 ก.ย.2558 ในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ซึ่งฐานะการเงิน ณ วันที่ 30 มิ.ย.2558 บริษัทมีกำไรสะสมของบริษัท 2,326 ล้านบาทและมีสภาพคล่องส่วนเกิน จนเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2561คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนจำนวน 27 ล้านหุ้น หรือ 5.40% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยขายผ่านตลาดหลักทรัพย์วันที่ 20 ก.ย.2561-20 ธ.ค.2561 จากเหตุผลดังกล่าว