THAI โตแกร่ง ครึ่งปีกำไร 21,955 ลบ. ปลื้ม ! หุ้นใหญ่อันดับ 11 ของตลาด

HoonSmart.com>> THAI โตกระฉูด โชว์ Q2/68  กำไรทะลัก 1.2 หมื่นล้านบาท พุ่ง 3,860% และงวด 6 เดือน กำไร 2.1 หมื่นลบ. โต 708% ปลื้ม ! เข้าซื้อขาย 4 วัน มาร์เก็ตแคป 379,264 ล้านบาท บริษัทใหญ่ติดอันดับ 11 ของตลาด วันศุกร์บวกแรงต่อเฉียด 10% เพิ่มเป็น 416,058 ล้านบาท นักวิเคราะห์มองต่างมุมกำไร บล.กรุงศรีแจงมาจากรายการพิเศษ กำไรจริงพ้นจุดพีคแล้ว แข่งขันสูง แนะขายหุ้น คงเป้าราคาที่  7.65 บาท ส่วนบล.เอเชียพลัสกำลังปรับประมาณการปีนี้ ชูมาร์จิ้นดีเกินคาด


บริษัท การบินไทย (THAI) แจ้งผลดำเนินงานไตรมาส 2/68 กำไรสุทธิ 12,124.23 ลบ. กำไรต่อหุ้น 0.43 บาท  เพิ่มขึ้น 11,818.1 ลบ. หรือ 3,860.48 % เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิ 306.13 ลบ. กำไรต่อหุ้น 0.14 บาท

งวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 21,955.98 ลบ. กำไรต่อหุ้น 0.78 บาท   ดีขึ้น 19,240.3 ลบ. หรือ  708.49% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไร 2,715.68 ลบ. กำไรต่อหุ้น 1.24 บาท

บริษัท ฯ ชี้แจงผลงาน Q2 มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 44,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 43,981 ล้านบาท

โดยเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางที่เป็นที่นิยมเช่น เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และเดนปาซาร์ เป็นต้น ส่งผลให้มีผู้โดยสารรวมในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เป็นจำนวน 3.97 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.2% และมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 77.0% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 73.2% จากการปรับเครือข่ายเส้นทางบินที่เหมาะสมเพื่อรองรับปริมาณความต้องการการเดินทางของผู้โดยสารที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างพันธมิตรผ่านการทำรหัสเที่ยวบินร่วม (Codeshare)

ค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 34,648 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% โดยหลักมาจากค่าน้ำมันเครื่องบินที่ลดลงตามราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ปรับตัวลง ถึงแม้ว่าปริมาณการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าซ่อมแซมและซ่อมบำรุงอากาศยาน และค่าใช้จ่ายอื่นที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 10,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 5,925 ล้านบาท และมีอัตรากำไร (EBIT Margin) อยู่ที่ 22.7%

บริษัทฯ มีต้นทุนทางการเงิน ซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 3,392 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,404 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้รวม 5,347 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากรายการปรับปรุงทางบัญชีจากการเปลี่ยนสัญญาจากเช่าเป็นซื้อเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777-300ER จำนวน 4 ลำ ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 12,134 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 314 ล้านบาท และมี EBITDA 13,408 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินทั้งสิ้น 78 ลำ

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 96,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 7.2%

มีอัตราการใช้เครื่องบินเฉลี่ย 13.6 ชั่วโมง/ลำ/วัน  ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เท่ากับ 35,281 ล้านที่นั่ง-กิโลเมตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.2% มีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เท่ากับ 28,297 ล้านคน-กิโลเมตร เพิ่มขึ้น 18.3%

อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 80.2 % สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเฉลี่ยที่ 78.1% และมีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวม 8.30 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.62 ล้านคน หรือคิดเป็น 8.1%

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีค่าใช้จ่าย (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 71,863 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.5% มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 24,589 ล้านบาท มีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 6,873 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้รวม 4,259 ล้านบาท

ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 21,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 702.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 2,738 ล้านบาท และมี EBITDA 30,887 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 297,691 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2567 จำนวน 5,183 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 230,134 ล้านบาท ลดลงฃจำนวน 16,785 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 67,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จำนวน 21,968 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด และสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่น ณ วันที่ 30 มิ.ย.2568 จำนวน 120,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,021 ล้านบาท จากสิ้นปี 2567

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการนำหุ้น THAI กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.2568 ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากประสบความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งได้พลิกโฉมองค์กรสู่การเป็นบริษัทเอกชนที่พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยมีความสามารถในการสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่องและชัดเจน

ตลอดระยะเวลา 4 วันทำการที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หุ้น THAI มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 4,400 ล้านบาทต่อวัน โดยวันที่ 7 ส.ค. หุ้น THAI มีราคาปิดอยู่ที่ 13.40 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 27.6% จากราคาเปิดที่ 10.50 บาท เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป)  379,264 ล้านบาท นับเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดลำดับที่ 11 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ

การกลับเข้าซื้อขายครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ครั้งสำคัญ ในฐานะสายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจ พร้อมต่อยอดสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับการดำเนินงาน คุณภาพการให้บริการ ควบคู่กับการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลสูงสุด ทะยานสู่บทบาทหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาค และก้าวสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

วันศุกร์ที่  8 ส.ค.ที่ผ่านมา ราคาหุ้นยังคงปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่อง ปิดที่ 14.70 บาท บวก 1.30 บาท  พุ่งขึ้น 9.70%  ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 5,522.28 ล้านบาท มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นเป็น 416,058.39 ล้านบาท นักลงทุนขานรับข่าวดีเรื่องกำไรไตรมาสที่ 2/2568 โดยบล.กรุงศรีอยุธยา ก็มองบวกต่อกำไรที่ 1.2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าคาดการณ์

อย่างไรก็ตามกำไรส่วนใหญ่เกิดจากรายการพิเศษและค่าซ่อมแซมเครื่องบินที่ผันผวน ต่ำกว่าคาด 25% ขณะที่เริ่มเห็นสัญญาณการแข่งขันสูงขึ้นจากราคาตั๋วเฉลี่ยที่ลดลง จึงยังคงเชื่อว่ากาไรTHAI กำลังจะผ่านช่วง Peak ของวงจรธุรกิจ ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ EV/EBITDA สูง 7.7 เท่า สูงกว่าผู้ประกอบการสายการบินในประเทศที่ 7เท่า และภูมิภาค 4.5 เท่าแล้ว คงคงคำแนะนำขาย ที่มูลค่าเหมาะสม 7.65 บาท ต่ำกว่าราคาในตลาดประมาณ -47%

“ครึ่งปีนี้ THAI มีกำไรสุทธิ 21,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 708% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรปกติ 16,974 ล้านบาท  เพิ่ม +124%    คิดเป็น 65% ของประมาณการทั้งปี แนวโน้มไตรมาสที่ 3  ยังเป็นช่วง Low season ของอุตสาหกรรมการบิน คาดรายได้ทรงตัวจากไตรมาสที่ 2 ขณะที่อัตรากำไรมีแนวโน้มลดลงจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น+8% เราประเมินทุก 1% ของราคาน้ำมันที่เพิ่มจะทำให้กำไร THAI ลดลงราว -2%,และมีความเสี่ยงค่าซ่อมเครื่องบินเพิ่มจากฐานต่ำอีกด้วย เรายังคงมองแนวโน้มกำไรปกติครึ่งปีหลังลดลงจากฐานสูงในครึ่งปีแรก จึงยังคาดกำไรปกติปี 2568 ที่ 26,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน  อาจมี Upside +7% จากที่งวดไตรมาสที่ 2 กำไรปกติสูงกว่าคาด และยังคงคาดกำไรปี  2569 ลดลง -16% จากการแข่งขันสูงขึ้น”บล.กรุงศรีระบุ

บล.เอเซียพลัส กำลังทบทวนปรับเพิ่มประมาณการ หลังกำไรสุทธิที่ 1.2 หมื่นล้านบาท +32% จากไตรมาสแรก  หากไม่รวมกําไรพิเศษ หลักๆ คือ กําไรจากการยกเลิกสัญญาเช่าเครื่องบิน 5,000 ล้านบาท มีกําไรปกติ 6,800 ล้านบาท (ลด 33% QoQ ตามฤดูกาล) เติบโตจาก 1,200 ล้านบาท งวดเดียวกันปีก่อน หนุนด้วยมาร์จิ้นดีขึ้นเป็นหลัก

สำหรับกําไรปกติครึ่งปีแรกที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมากจากครึ่งแรกปีก่อนที่ 7,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 61% ของประมาณการกําไรปกติฝ่ายวิจัย และ 63% ของ BB Consensus โดยรายได้คิดเป็นสัดส่วน 48% ของสมมติฐานฝ่ายวิจัยทั้งปี ภายใต้แนวโน้มรายได้ ผ่านจุดต่ําสุดรายไตรมาส ตามฤดูกาล มองว่าฝั่งรายได้สอดคล้อง แต่อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 22%ดีขึ้นกว่าปีก่อนที่ 17% ดีกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยทั้งปีที่ 19% มีความเป็นไปได้ที่ประมาณการกําไร จะถูกปรับขึ้นจากทั้งฝ่ายวิจัยและตลาด

ราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงบวกจากการขยายตัวของกําไรปกติทั้งไตรมาสที่ 2 และทั้งปีที่มีแนวโน้มเด่นกว่ากลุ่มฯ (และFree Float ในการซื้อขายไม่สูงในช่วง 6 เดือนแรก) คงเลือกเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มท่องเที่ยวคู่กับ CENTEL