HoonSmart.com>>ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด “ดีลเลอร์” บลจ.บัวหลวง พร้อมพวกรวม 3 ราย ต่อ “กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ” (บก.ปอศ.) กรณีซื้อหรือขายหลักทรัพย์ก่อนทำรายการซื้อขายของกองทุน โดยใช้ข้อมูลการลงทุนของกองทุน เหตุเกิดช่วงปี 2566-2567 ส่งต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 และตรวจสอบเพิ่มเติมพบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า ผู้กระทำความผิดรวม 3 ราย ได้แก่ (1) นางสาวปิยาพัชร อุดมรัตน์ (2) นายวิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ และ (3) นางนาวินี อุดมรัตน์ ได้ร่วมกันกระทำการเพื่อตนเองหรือบุคคลอื่น ในประการที่น่าจะทำให้กองทุนรวมเสียประโยชน์
จากการตรวจสอบ นางสาวปิยาพัชร ในฐานะพนักงานห้องค้าหลักทรัพย์ (dealer) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (ขณะกระทำผิดสังกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง จำกัด) ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนรวม ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคำสั่งของกองทุนรวมที่ตนเป็นผู้ส่งคำสั่งซื้อขายของกองทุนรวมดังกล่าวให้แก่นายวิสุทธิ์ และนายวิสุทธิ์ได้อาศัยข้อมูลดังกล่าว ส่งคำสั่งซื้อหรือขายหลักทรัพย์ก่อนที่นางสาวปิยาพัชร จะส่งคำสั่งซื้อหรือขายให้แก่บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนรวมจำนวนหลายรายการ ในช่วงปี 2566 – 2567 โดยมีนางนาวินีร่วมเกี่ยวข้องกับเงินในการกระทำดังกล่าว
การกระทำของบุคคลดังกล่าวข้างต้น เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 244/2 ประกอบมาตรา 244/1 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) แล้วแต่กรณี ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 3 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้รายงานการดำเนินการดังกล่าวต่อ ปปง. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป เนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพ.ค.2568 ที่ผ่านมา ก.ล.ต.ได้มีคำสั่งเปรียบเทียบปรับบลจ.บัวหลวงเป็นเงิน 2,091,750 บาท เนื่องจากระหว่างวันที่ 27 ม.ค.2566-28 ต.ค.2567 บลจ.บัวหลวง มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด โดยบลจ.บัวหลวง มีระบบงานการจัดการลงทุนในเรื่องการวิเคราะห์ทบทวนและติดตามคุณภาพหลักทรัพย์ไม่รัดกุมเพียงพอ
นอกจากนี้ก.ล.ต.ยังได้สั่งปรับ นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายสันติ ธนะนิรันดร์ หัวหน้าสายงานจัดการกองทุน และประธานคณะกรรมการลงทุน ซึ่งเป็นบุคคลที่รับผิดชอบในการดำเนินงานของบลจ.บัวหลวง มีหน้าที่กำกับดูแลให้ บลจ. บัวหลวง มีระบบงานการจัดการลงทุนในเรื่องการวิเคราะห์ทบทวนและติดตามคุณภาพหลักทรัพย์ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ประกาศกำหนด แต่นายสันติไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ จึงต้องรับผิดกรณี บลจ.บัวหลวง มีระบบงานการจัดการลงทุนในเรื่องการวิเคราะห์ทบทวนและติดตามคุณภาพหลักทรัพย์ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ประกาศกำหนด ตามมาตรา 283 วรรคหนึ่ง และ 117 / พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ โดยปรับเป็นเงินรายละ 112,500.00 บาท
สำหรับนายพีรพงศ์ได้ลาออกจากบลจ.บัวหลวงไปนานแล้ว โดยมี ดร.ณัฐพัชร์ เจียรวงศ์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และมี นาย ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ดำรงตำแหน่ง Managing Director ,Chief Investment Officer (CIO)
