HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 208 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รับแรงหนุนจากความหวังว่าสหรัฐฯ อาจบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรปได้เร็วๆ นี้ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ปิดที่ 44,901.92 จุด เพิ่มขึ้น 208.01 จุด หรือ +0.47% ส่วนดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ว่าสหรัฐฯ อาจบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรปได้ในเร็วๆ นี้ ขณะที่หุ้น Deckers ผู้ผลิต UGG boots Outdoor และรองเท้าผ้าใบ Hoka พุ่งสูงขึ้นหลังจากผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,388.64 จุด เพิ่มขึ้น 25.29 จุด, +0.40%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,108.32 จุด เพิ่มขึ้น 50.36 จุด, +0.24%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 1.3%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.5% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 1%
ในวันศุกร์ ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดทำสถิติสูงสุดเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน โดยดัชนีปิดเหนือระดับ 6,300 จุดเป็นครั้งแรกในวันจันทร์ ขณะเดียวกัน ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 4 ครั้งในสัปดาห์นี้ โดยทะลุระดับ 21,000 จุดในวันพุธ
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เขาคาดว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงเพิ่มเติมก่อนเส้นตายภาษีศุลกากรวันที่ 1 สิงหาคมในสัปดาห์หน้า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปอาจเป็นหนึ่งในข้อตกลงดังกล่าว
อัวร์ซูลา ฟอน เดอร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป จะพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในวันอาทิตย์นี้ที่สกอตแลนด์ หลังจากที่เจ้าหน้าที่และนักการทูตของสหภาพ
ยุโรประบุว่าคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากรอบในสุดสัปดาห์นี้ ก่อนหน้านี้ ทรัมป์กล่าวว่าโอกาสที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปจะบรรลุข้อตกลงการค้านั้นอยู่ที่ “50-50”
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่ง การบรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่นและ
ฟิลิปปินส์ และความคาดหวังว่าทำเนียบขาวจะบรรลุข้อตกลงเพิ่มเติมซึ่งจะเลี่ยงการเก็บภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นจากที่ทรัมป์ขู่ไว้
ตามข้อมูลของ FactSet บริษัทกว่า 82% จากทั้งหมด 169 แห่งในดัชนี S&P 500 ที่รายงานผลประกอบการจนถึงปัจจุบัน สามารถทำผลงานได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
หุ้น Deckers Outdoor พุ่งขึ้น 11% หลังผลประกอบการไตรมาสสูงกว่าประมาณการ จากความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาดต่างประเทศ
หุ้น Intel ร่วงลง 8.5% หลังจากคาดการณ์ว่าผลประกอบการรายไตรมาสจะขาดทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และประกาศแผนการลดจำนวนพนักงาน
หุ้น Paramount Global ลดลง 1.6% หลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ อนุมัติการควบรวมกิจการมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์กับ Skydance Media
หุ้นใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ AI จำนวน 4 รายในกลุ่ม Magnificent 7 ได้แก่ Amazon, Apple, Meta และ Microsoft กำหนดรายงานผลประกอบการสัปดาห์หน้า และผู้เล่นใน
ตลาดจะประเมินพิจารณาการให้รายละเอียดของบริษัทต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ผลตอบแทนจากการลงทุนด้าน AI และผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากรต่อประมาณในอนาคต
ข้อมูลของ LSEG I/B/E/S คาดว่ากำไรในไตรมาสที่สองบริษัทในดัชนี S&P 500 โดยเฉลี่ย จะเพิ่มขึ้น 7.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นกำไรจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ในสัปดาห์หน้าความสนใจของนักลงทุนอยู่ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมวันพฤหัสบดี ขณะที่ประเมินผลกระทบของภาษีศุลกากรต่ออัตราเงินเฟ้อ
เครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสประมาณ 60% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เขาเชื่อว่าเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด อาจพร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ย ทรัมป์ได้เข้าพบเฟดในวันพฤหัสบดี หลังจากที่วิจารณ์พาวเวลล์ในช่วงต้นสัปดาห์ จากการที่ไม่ลดอัตราดอกเบี้ย
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจ ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ ได้แก่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ลดลงเกินคา เนื่องจากบริษัทต่างๆ ชะลอการซื้อสินค้ามูลค่าสูงท่ามกลางความตึงเครียดจากการเจรจาการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่
กระทรวงพาณิชย์รายงาน ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปเดือนมิถุนายน ลดลง 9.3% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 11.1% ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ ลดลง 0.7% จากเพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนพฤษภาคม
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลดลง นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทที่ผันผวน ขณะเดียวกันก็รอความคืบหน้าเกี่ยวกับกรอบข้อตกลงการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าอาจบรรลุข้อตกลงได้เร็วที่สุดในสุดสัปดาห์นี้
นักลงทุนต่างจับตาทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของข้อตกลงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หลังจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานตลอดสัปดาห์ ซึ่งจบลงด้วยข้อตกลงกับญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
ดัชนี STOXX 600 ของยุโรปร่วงลง 0.6% สู่ระดับต่ำสุดในชั่วโมงซื้อขาย หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า โอกาสที่สหรัฐฯ จะบรรลุข้อตกลงกับสหภาพยุโรปมีน้อยลง แต่กลับฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่นักการทูตสหภาพยุโรปย้ำว่า ข้อตกลงเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรป 15% ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 549.95 จุด ลดลง 1.60 จุด, -0.29%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,120.31 จุด ลดลง 18.06 จุด, -0.20%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,834.58 จุด เพิ่มขึ้น 16.30 จุด, +0.21%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,217.50 จุด ลดลง 78.43 จุด, -0.32%
อีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันหุ้นคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความเห็นของธนาคารกลางยุโรป(ECB)เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความคาดหวังว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้น้อยลง
ขณะเดียวกัน การรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทต่างๆ ก็มีมากขึ้น
หุ้น Puma แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาเป็นหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในดัชนีอ้างอิง โดยลดลง 16% ซึ่งเป็นการลดลงรายวันที่มากที่สุดในรอบกว่าสี่เดือน บริษัทได้ปรับลดแนวโน้มผลประกอบการทั้งปี และรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้
JD Sports ร้านค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ลดลง 0.7% หลังจากผลประกอบการของ Puma
หุ้น LVMH กลุ่มบริษัทสินค้าหรูจากฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 3.9% หลังจากรายงานผลประกอบการรายไตรมาส และกลุ่มบริษัทระบุว่าเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในตลาดจีน
ดัชนีสินค้าหรูโดยรวมเพิ่มขึ้น 1.8% และเป็นดัชนีที่ปรับขึ้นดีที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรม
หุ้นรถยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.4% โดยได้แรงหนุนจากหุ้น Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของยุโรปที่เพิ่มขึ้น 4.6% หลังจากที่ซีอีโอกล่าวว่าต้องเร่งลดต้นทุนเพื่อรับมือกับ
มาตรการภาษีนำเข้า ก่อนหน้านี้ในช่วงการซื้อขาย หุ้นถูกเทขายอย่างหนักจากการปรับลดประมาณการยอดขายและอัตรากำไรทั้งปีของบริษัท
หุ้น Carrefour บริษัทค้าปลีกอาหารรายใหญ่ที่สุดของยุโรปเพิ่มขึ้น 5.5% หลังจากที่รายงานผลประกอบการครึ่งปี
ในสัปดาห์หน้านักลงทุนจับตาเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ทั้งการตัดสินใจด้านนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ การรายงานผลประกอบการของบริษัทกลุ่มMagnificent Sevenหลายแห่ง และเส้นตายการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ในวันที่ 1 สิงหาคม
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 87 เซนต์ หรือ -1.32% ปิดที่ 65.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกันยายนลดลง 74 เซนต์ หรือ -1.07% ปิดที่ 68.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
