TRUBB ส่งบริษัทย่อย “เลเท็กซ์ ซิสเทมส์” ผู้ผลิต-ขายที่นอน หมอน ยางพารา ยื่นไฟลิ่ง เข้าตลาดหุ้น mai ตั้ง KGI ที่ปรึกษาการเงิน
นางปทุมพร ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทม (LS ) เปิดเผยว่า ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของ LS ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย ) เป็นที่ปรึกษาการเงิน
สำหรับ LS เป็นผู้นำผลิตและจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่น จากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100 % มากว่า 15 ปี โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้า (ไม่ติดตราสินค้า) ให้กับผู้ค้าส่ง และผู้ประกอบการโรงงานประกอบที่นอน ประมาณ 96.82 % และผลิตภายใต้ตราสินค้าของบริษัท 2.37 %
แบรนด์ของบริษัท อาทิ Latex System” โดยมีแผนขยายแบรนด์มากขึ้น และมีแผนใช้แบรนด์ “Sleepertist” รองรับลูกค้าระดับกลางถึงบน แบรนด์ “Nap&Night” รองรับลูกค้าระดับกลางลงมา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งครอบคลุมส่วนแบ่งการตลาด
ปัจจุบัน LS มีโรงงานผลิตสินค้า 2 แห่ง ล่าสุดซื้อโรงงานแห่งที่ 3 เป็นโรงงานหมอน อำเภอแกลง จ.ระยอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบการผลิตสินค้า โรงงานที่ 1-2 มีกำลังผลิตที่นอน 68,640 ชิ้น/ปี กำลังผลิตหมอน 1.98 ล้านชิ้นต่อปี หากรวมโรงงาน 3 ทำให้กำลังผลิตหมอนเพิ่มเป็น 2.136 ล้านชิ้น/ปี รองรับการขยายตลาดและการเติบโตในอนาคต
โครงสร้างการถือหุ้นก่อนเสนอขายหุ้น ประกอบด้วย บริษัทไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย ) หรือ TRUBB ถือหุ้น 56.71 % , กลุ่มครอบครัว วงศาสุทธิกุล ถือหุ้น 19.17% กลุ่มครอบครัววรประทีป 10% , กลุ่มครอบครัว เต็มฤทธิกุลชัย 8% , กลุ่มครอบครัว ศรีหิรัญรัศมี 2% , ผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นๆ รวมอีก 4.66% หลังขายหุ้น IPO ไทยรับเบอร์ ฯ เหลือหุ้น 39.64 %
ปัจจุบัน LS มีทุนจดทะเบียน 225 ล้านบาท ชำระแล้ว 158.78 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือ 317.56 ล้านหุ้น
น.ส.พัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เคจึไอ (ประเทศไทย ) ที่ปรึกษาการเงิน LS กล่าวว่า ได้ยื่นขออนุญาตเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนครั้งแรก (IPO ) จำนวน 132.43 ล้านหุ้น หรือ 29.34 % ของทุนชำระแล้ว
วัตถุประสงค์เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมที่ใช้เพื่อลงทุน ซื้อโรงงานในจังหวัดระยองเพื่อขยายกำลังการผลิตหมอน, ลงทุนก่อสร้างโชว์รูม , ขยายธุรกิจในอนาคต และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ผลประกอบการปี 2558 – 2560 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 399.52 ล้านบาท , 429.40 ล้านบาท และ 753.47 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 37.33% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 68.18 ล้านบาท , 62.50 ล้านบาท และ 114.07 ล้านบาท ตามลำดับ
งวด 9 เดือน/2561 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 664.30 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 34.64% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 121.40 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 131.64% กำไรขั้นต้นเฉลี่ยประมาณ 34.83% และ มีอัตราส่วนกำไรสุทธิเฉลี่ย 18.27% สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าชาวจีน , เกาหลีใต้ ที่นิยมผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100%