KTB แกร่ง Q2/68 กำไร 11,122 ล้านบ. กด NPL เหลือ 2.94% สำรองเพิ่มเล็กน้อย

HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงไทย (KTB) กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 จำนวน 11,122 ล้านบาท ลดลง 5.73% เน้นดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง ลด NPL เหลือ 2.94% จากสิ้นปีก่อน 2.99% ตั้งสำรองเพิ่มเล็กน้อยเป็น 8,239 ล้านบาทรักษา Coverage Ratio ในระดับสูง เร่งช่วยลูกค้าแก้หนี้และเดินหน้าต่อยั่งยืน รับมือครึ่งปีหลังเศรษฐกิจอาจจะโตต่ำกว่า 1% ส่งออกหดตัวกว่า 10% ฟิทช์เพิ่มเรทติ้งเป็น bbb สะท้อนปรับตัวและมีคุณภาพ ให้ความสำคัญดูแล Stakeholders สมดุล

ธนาคารกรุงไทย (KTB)  เปิดเผยผลงานงวดไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิ  11,122 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 0.80 บาท ลดลง 676 ล้านบาทหรือ-5.73%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11,798 ล้านบาทหรือ 0.84 บาทต่อหุ้น และกำไรลดลง 5.1% จากไตรมาสแรกปีนี้ รวมครึ่งปีนี้ กำไรสุทธิ  22,836 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 1.63 บาท ลดลง 638 ล้านบาทหรือ -2.72%จากที่มีกำไรสุทธิ  23,474 ล้านบาทหรือ 1.68 บาทต่อหุ้นในระยะเดียวกันปีก่อน

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 2568 ยังขยายตัวได้โดยเฉพาะจากการเร่งส่งออกสินค้าก่อนสหรัฐฯ ปรับอัตราภาษีศุลกากรสูงขึ้น ส่วนในครึ่งปีหลังต้องเตรียมรับมือกับภาษีศุลกากรที่อาจจะสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัว กระทบกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คาดว่าจะทำให้การส่งออกสินค้าไทยชะลอตัว และสินค้าที่มีอุปทานส่วนเกินในต่างประเทศเข้ามาตีตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น กระทบผู้ประกอบการ ห่วงโซ่อุปทานและแรงงานที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยเริ่มชะลอตัว นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความเปราะบางจากปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนและเศรษฐกิจนอกระบบที่อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางพายุแห่งการ เปลี่ยนแปลงของโลกครั้งใหญ่ที่มีผลกระทบกับชีวิตผู้คน สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและประเทศ

ธนาคารดำเนินธุรกิจตามยุทธศาสตร์ด้วยความระมัดระวัง พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ สนับสนุนการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย เฟส2” ที่ได้ปรับเงื่อนไขให้สามารถช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SME กลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น ครอบคลุมกลุ่มที่เป็น NPL และกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่เป็น NPL แต่มีสัญญาณอ่อนแอให้สามารถประคองตัว รักษาสินทรัพย์สำคัญกับความมั่นคงของครอบครัว ป้องกันไม่ให้ปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำทวีความรุนแรงขึ้น

ทั้งนี้เพิ่มเติมจากมาตรการอื่นๆ ที่ธนาคารดำเนินการมาต่อเนื่อง ทั้งการลดภาระทางการเงินให้ลูกค้า ผ่านสินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน และ สินเชื่อกรุงไทยรวมหนี้ (ภาคประชาชน) สินเชื่อกรุงไทยบ้านแลกเงิน พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ทันสมัย สนับสนุนลูกค้าปรับตัว ฟื้นฟูกิจการ สร้างโอกาสจากความท้าทาย และเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจยั่งยืนตามแนวทาง ESG รวมถึงส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบที่เป็นธรรมอย่างทั่วถึง โดยยึดมั่นในแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2568 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2567  ธนาคารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังบริหาร NPL ได้ดีที่ 2.94% เทียบกับ 2.99% จากสิ้นปีที่ผ่านมา รักษา Coverage Ratio ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องที่  194.1% รองรับสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสมและรอบคอบเป็น  8,239 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 0.2% จากไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้น 2.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน รวมครึ่งปีตั้งสำรอง  16,463 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  2.7%

ส่วนกำไรที่ทำได้จำนวน  11,122 ล้านบาท มาจากรายได้จากการดำเนินงานอยู่ในระดับทรงตัว เป็นผลจากสภาวะดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองลูกค้า ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลง ในขณะที่สินเชื่อเติบโต  4.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อภาครัฐ และการให้ความสำคัญกับพอร์ตที่มีความสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการให้บริการ Wealth Management ประกอบกับการขยายตัวของรายได้จากธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนและเงินลงทุนที่เป็นไปตามสภาวะตลาด พร้อมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพโดยมี Cost to Income ratio ที่  42.3%

หากเปรียบเทียบกำไรไตรมาสที่ 2/2568 กับไตรมาส 1/2568  กำไรลดลง 5.1% จากสภาวะดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยสนับสนุนให้ลูกค้าฟื้นตัวได้ ในขณะที่รายได้อื่นขยายตัวโดยหลักจาก Wealth Management และธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง มีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายองค์รวม และการตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสม ธนาคารมีสินเชื่อขยายตัว 0.4% โดยยังคงรักษาสมดุลของพอร์ตและรักษา Coverage Ratio ในระดับสูง

ส่วนผลงานครึ่งแรกของปี 2568 ธนาคารมีกำไร 22,836 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย  2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการดำเนินงานลดลง 1.1%  จากสภาวะดอกเบี้ยและการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองลูกค้า แม้ว่ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังคงเติบโต ธนาคารบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี Cost to Income ratio เท่ากับ 41.3% และตั้งสำรองฯ ในระดับที่เหมาะสม

ณ 30 มิ.ย. 2568 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 สัดส่วน 19.28% และเงินกองทุนทั้งสิ้น  21.28%ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage ratio (LCR) อย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด

ในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Ratings ได้ประกาศคงอันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคารที่ BBB+ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ AAA(tha) พร้อมปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating) เป็น ‘bbb’ จาก ‘bbb-‘ สะท้อนสถานะของธนาคารฯที่สามารถปรับตัวได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ

ในปี 2568 ธนาคารมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กร ภายใต้แนวคิด “Corporate Value Creation เสริมทักษะ สร้างคุณค่า สู่อนาคต” เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ผ่าน 5 ยุทธศาสตร์หลักที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน บริหารจัดการความเสี่ยงจากคุณภาพสินเชื่อ เพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพของพนักงานซึ่งเป็นหัวใจขององค์กร พร้อมให้ความสำคัญกับ Stakeholders ได้อย่างครอบคลุมและสมดุล

ล่าสุด ธนาคารและกลุ่มพันธมิตร ได้รับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ผสานความแข็งแกร่ง สร้างสรรค์บริการทางการเงินที่ก้าวข้ามข้อจำกัดในรูปแบบเดิม ใช้ประโยชน์จากข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) สนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำอย่างตรงจุด สนับสนุนเศรษฐกิจและภาคครัวเรือนให้เข้าสู่ระบบ ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพให้กับประเทศ นำไปสู่การสร้างความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต ท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักต่อเศรษฐกิจไทย และผลกระทบต่อธุรกิจธนาคารในด้านการเติบโตและคุณภาพของสินเชื่อ

“แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เศรษฐกิจจะอ่อนแรงลง และมีโอกาสที่อาจจะขยายตัวต่ำกว่า 1% ส่วนมูลค่าการส่งออกอาจหดตัวกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ปี 2569 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า 2%”นายผยงกล่าว