BAY กำไรครึ่งปีนี้ 15,829 ล้านบ. โต 0.49% สำรองหนี้ลดลง 15.8% เหลือ 20,278 ลบ.

HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) เผยไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิ 8,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.05%YoY และเพิ่มขึ้น 10.1%QoQ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น จากการบริหารต้นทุนการเงิน-ลดค่าใช้จ่าย ตั้งสำรอง 10,290 ล้านบาท ลดลง 12.9% YoYและเพิ่มขึ้น 3% QoQ รวมกำไรครึ่งปีนี้ 15,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.49% ตั้งสำรองลดลง 15.8% เหลือ 20,278 ล้านบาท สินเชื่อหดตัว 1.6% เน้นยุทธศาสตร์เติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพ 

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) รายงานผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิ 8,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.05%จากจำนวน 8,209 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY)  และเพิ่มขึ้น 10.1% หรือจำนวน 762 ล้านบาทจากไตรมาสแรก (QoQ)โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 25,926 ล้านบาท เติบโต  2.7% QoQ ผลจากการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานลดลง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานและการควบคุมต้นทุน ขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 10,290 ล้านบาท ลดลง 12.9% YoY และเพิ่มขึ้น 3.0% QoQ

ส่วนผลงานครึ่งปีนี้มีกำไรทั้งสิ้น 15,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.49% หรือจำนวน 77 ล้านบาทจากจำนวน 15,752 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 15.8% เหลือจำนวน 20,278 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน การลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการลดลงของเงินให้สินเชื่อ โดยยึดมั่นยุทธศาสตร์การบริหารต้นทุน พร้อมเสริมประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนคุมผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม

ธนาคารฯวางนโยบายที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เงินให้สินเชื่อในภาคธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตในระดับปานกลาง ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งสินเชื่อเพื่อรายย่อยปรับตัวลดลง ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อรวมลดลง 1.6% หรือจำนวน 29,831 ล้านบาทในครึ่งปีแรกเทียบกับสิ้นปี 2567 ซึ่งสะท้อนภาพรวมความต้องการเงินให้สินเชื่อทั้งระบบอุตสาหกรรมธนาคาร และการชำระคืนเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน

“สินเชื่อรวมลดลง 1.6% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากนโยบายที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งผลให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตในระดับปานกลางที่ 2.8% ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งสินเชื่อเพื่อรายย่อยลดลงที่ 4.0% และ 3.9% ตามลำดับ สะท้อนนโยบายการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น”ธนาคารกรุงเศรีอยุธยาระบุ

ส่วนเงินรับฝาก ลดลง 1.1% หรือจำนวน 19,782 ล้านบาท จากสิ้นปี 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของเงินรับฝากประจำ สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนทางการเงิน ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.14% เมื่อเทียบกับ 4.31% ในครึ่งแรกของปี 2567 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการลดลงของเงินให้สินเชื่อสุทธิบางส่วนกับต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวลดลง

สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 6.0% หรือจำนวน 1,334 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน หนี้สูญรับคืน รายได้จากการดำเนินการอื่นที่มาจากกำไรจากทรัพย์สินรอการขาย และรายได้จากเงินปันผล สุทธิด้วยการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ

ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 44.7% โดยยังคงดำเนินนโยบายบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งของความสามารถในการสร้างรายได้ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.39% ขณะที่อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 217 เบสิสพอยท์ และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 122.8%อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 19.57% เทียบกับ 19.38%สิ้นปี 2567

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน การบริโภค และความต้องการสินเชื่อ กรุงศรียังคงสามารถรักษาระดับผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงครึ่งปีแรกสะท้อนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการบริหารต้นทุน พร้อมเสริมประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนคุมผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม

แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังคาดอ่อนแรงต่อเนื่อง ภายใต้บริบทความเสี่ยงจากมาตรการเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ความท้าทายจากการฟื้นตัวที่ช้ากว่าคาดการณ์ในภาคการท่องเที่ยว ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับที่สูง และประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิต อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ต่อเนื่องในปี 2569  สำหรับปี 2568 กรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับ 2.1%

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.87 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.80 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.60 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 325.76 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 19.57% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 15.36%