‘ธรรมศักดิ์’ยันหุ้น SCC ถือระยะยาวได้ ลุ้นกระแสเงินสดกระชากขึ้นจากปิโตรฯ

HoonSmart.com>>”ธรรมศักดิ์” บิ๊ก”ปูนซิเมนต์ไทย” (SCC) ฟันธงธุรกิจหลักดีขึ้น ปิโตรฯฟื้น จีนชะลอลงทุนโครงการใหม่  พร้อมเปิดเดินเครื่องโครงการลองเซิน เวียดนาม ขอแค่คุ้มทุน ยันปีนี้กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ลุ้น 3 ปีกระชากขึ้นจากการใช้อีเทน ลดต้นทุนได้ 250 ล้านดอลลาร์/ปี  เพิ่มประสิทธิภาพวัสดุก่อสร้าง ส่งขายจีนตลาดใหญ่ 

นาย ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ให้สัมภาษณ์ นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เรื่อง “ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ SCC สร้างความมั่นคงในวันที่ไม่แน่นอน” ผ่านรายการ Exclusive Talk

SCC มีสินทรัพย์ในไทย 50% เท่านั้น
นาย ธรรมศักดิ์กล่าวว่า SCC ดำเนินธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ ธุรกิจใหญ่ที่สุด คือปิโตรเคมี ประมาณ 50% รองลงมาคือ ปูนซีเมนต์  วัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์ (แพคเกจจิ้ง)  ส่วนธุรกิจน้องใหม่ ยังเล็กอยู่คือพลังงานสีเขียว ไปได้ดี

ขณะที่มีสินทรัพย์ 50% อยู่ในเมืองไทย ส่วนที่เหลือ 50% กระจายอยู่ในต่างประเทศ รองจากประเทศไทยคือเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา สำหรับสินทรัพย์เกี่ยวกับเทคโนโลยี เล็กๆ อยู่ในยุโรป  เช่น สเปน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ  นอร์เวย์ และ สหรัฐ ฐานใหญ่อยู่ในอาเซียน

LSP แค่คุ้มทุน ก็กลับมาผลิต ใช้อีเทนลดต้นทุนได้ 250 ล้านดอลลาร์/ปี 

สถานการณ์ธุรกิจปิโตรเคมี เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว เป็นธุรกิจกึ่งโกลบอล (Global) หมายความว่าสินค้าส่งถึงกันในต้นทุนที่สมเหตุสมผล

ธุรกิจปิโตรเคมีเป็น Global Business ตอนนี้อยู่ในช่วงขาลง ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมาถึงไตรมาสแรกปีนี้ที่มีมาร์จิ้นแคบมาก ถึงขนาดต่ำสุดในรอบ 20 ปี  เพราะตอนธุรกิจดีก็เร่งลงทุน จีนสร้างโรงงานได้เร็วและสร้างได้ถูก ใช้วัตถุดิบราคาถูกจากสหรัฐ มาลงทุนด้วยเงินทุนที่ถูก ทำให้ช่วงปลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมนี้หนัก และเหนื่อยในรอบ 20 ปี

“ตอนนี้สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป คือ ช่วงต้นปี 2568 สหรัฐเริ่มตัดวัตถุดิบจากจีน ทำให้โรงงานที่พึ่งพิงวัตถุดิบสหรัฐเริ่มชะงัก ภาพการลงทุนโครงการใหม่ปีนี้เปลี่ยนไป มีการยกเลิกไป เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ได้สดใสนัก จีนก็กังวลว่า โรงงานสร้างเสร็จส่งไปสหรัฐไม่ได้ ทำให้เกิดชะลอรอบใหม่ วัฎจักรธุรกิจค่อยๆ ไต่ขึ้น แต่ปีนี้โรงงานเดิม ยังคงมีสินค้าเข้ามามากถึงปีหน้า สำหรับโรงงานที่กำลังตัดสินใจลงทุน เริ่มชะลอ เห็นมาร์จิ้นค่อยๆไต่ขึ้นมา จุดสมดุลค่อยๆดีขึ้น คาดพีคปี 2571 ภาพจีนที่สร้างโรงงานเยอะ ก็เริ่มชะลอ”

สถานการณ์สงครามการค้ามีผลมากทีเดียว พอสงครามการค้าเกิดขึ้น มีการขึ้นภาษี ทำให้เศรษฐกิจรอบโลกลดลง ความต้องการก็ลดลง แต่ Supply ของน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ราคาถูกลง 60-65 ดอลลาร์สหรัฐ ต้นทุนปิโตรเคมีค่อนข้างลดลง ทำให้มาร์จิ้นของปิโตรเคมีขยายตัวกลับขึ้นมา ในช่วง 2-3 เดือนนี้ดีขึ้น ตัดจากปัญหาสงคราม ทำให้ส่วนต่างเริ่มดีขึ้น

สำหรับ SCC มีปิโตรเคมีอยู่ในประเทศไทย 2 โรงงาน สร้างมานานแล้ว การตัดค่าเสื่อมลดลงมามาก ใส่สินค้ามูลค่าเพิ่มสูงเข้าไปมาก ทำให้มีกำไร แม้ว่าช่วงแย่ๆ ก็ยังมีกำไร นาฟต้าโรงงานในเมืองไทยอยู่ได้ แม้ว่าอุตสาหกรรมจะต่ำสุดในรอบ 20 ปี ถือว่า โอเคร ส่วนโครงการ
ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals) หรือ LSP ที่เวียดนามเพิ่งเสร็จ โรงงานใหม่ๆ มีแต่ commodity  เริ่มสตาร์ทอัพในช่วงมาร์จิ้นต่ำสุด ดูเหมือนไม่คุ้มที่จะเดินเครื่อง จึงต้องหยุด แต่หากจะรอให้ส่วนต่างราคาดีขึ้น โดยไม่ทำอะไรเลย จะต้องใช้เวลานาน แผนที่จะใส่สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA กว่าจะเห็นเนื้อ จะต้องใช้เวลา 5 ปี

ดังนั้นสถานการณ์ตอนนี้ หากจะทำให้โรงงานในเวียดนามกลับมา มีประสิทธิภาพเร็วที่สุด จะต้องทำให้มีคุณภาพดีขึ้น จึงมีการนำเข้า
อีเทนจากสหรัฐ ขณะที่จีนและอินเดียมีปัญหากับสหรัฐ จึงพึ่งพิงการนำเข้าไม่ได้  นอกจากนี้ SCC ซื้อจากสหรัฐ ก็เป็นเรื่องที่ดี ลดการขาดดุลการค้า ได้มา 1 ล้านตัน สัญญาระยะยาว  ทำให้ต้นทุนที่โรงงานเวียดนามต่ำกว่านาฟต้า  นำเข้ามา 1 ล้านตัน ลดต้นทุนได้ 250 ล้านดอลลาร์/ปี เป็นจุดเปลี่ยนของเกมส์ พลิกจากโรงงานเวียดนามเดินไม่ได้เลย จะได้ปีละ 250 ล้านดอลลาร์ แต่จะต้องใช้เงินลงทุน 500 ล้านดอลลาร์  เพียง 2 ปีคืนทุน จึงรีบทำโดยเร็ว เพราะโรงงงานที่เวียดนาม คืนทุนได้เร็วยิ่งขึ้น  หากมีมูลค่าเพิ่มสูง ก็จะยิ่งดี แต่จะต้องใช้เวลานาน

” โรงงานที่เวียดนามเป็น game changer มีการเซ็นสัญญาซื้ออีเทน 1 ล้านตัน เรื่องของเรือที่จะต้องนำเข้ามา 5 ลำ เซ็นไปแล้ว สัญญาก่อสร้างถัง เซ็นสัญญา ตอนนี้เบาใจแล้ว เพราะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเริ่มฟื้น จุดอ่อนเราที่มีในเวียดนาม ตอนนี้ทำให้เราเปลี่ยนเกมส์ เป็นปัจจัยที่รับรู้ทั้งหมด อีเทนจะเสร็จจริง ปี 2570 ตอนนี้มีแผนจะกลับมาเดินเครื่องที่เวียดนาม พอมาร์จิ้นดีขึ้น  ถามว่าจะกำไรมากไหม ไม่ แต่จะช่วยได้ ผลการดำเนินงานดีขึ้น ต่อให้เดินถึงจุดคุ้มทุน ก็จะเดิน หากส่วนต่างดีขึ้น ก็จะเดินเครื่องมากขึ้น เพราะเป็นการซ่อมและสร้างตลาด หากส่วนต่างดีขึ้น ถึงปี 2570 ก็สบาย จะบู๊ทแรง ตอนนี้จะค่อยๆดีขึ้น ”

ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์ สิ่งที่ SCC พยายามจะทำ จะต้องเปลี่ยนผ่าน จีนเข้ามาน้อยเพราะหนัก แต่ปัญหาคือ การใช้ปูนปกติ จะเป็นภาระต่อไทยและประชาคมโลก หากไม่เปลี่ยนผ่านการใช้ปูนคาร์บอนต่ำ หากถึงเวลาจะต้องลด จะทำให้เกิดการปรับตัวไม่ทัน คิดว่าอีก 2-3 ปี มาแน่นอน เราออกนวัตกรรมปูนคาร์บอนต่ำ ตอนนี้อยู่ที่เจน 3  ลดคาร์บอนได้ 40% ตอนนี้ขายได้ 50%  พยายามผลักดัน และเปิดกว้าง เริ่มจากไทยเปลี่ยนเป็นคาร์บอนต่ำ สามารถขายไปสหรัฐ และที่อื่นๆได้เยอะแยะ  และบริหารลดต้นทุนลง จะเอาเทคโนโลยีนี้ไป ใช้กับเวียดนาม และอื่นๆ

9 เดือน ลดต้นทุนได้มาก 

สำหรับสุขภัณฑ์จากจีน กลยุทธ์จะลดต้นทุนให้แข่งขันได้  SCC มีการยุบโรงงานจาก 2 แห่ง เหลือ 1 แห่งและใช้หุ่นยนต์ ลดของเสีย ผลิตผลิตภัณฑ์ที่บางลง ช่วยลดต้นทุนพลังงาน ถ้าจะแข่งกับจีนที่มีคุณภาพ ทำให้ไทยสู้ได้การลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ออกสินค้าที่มีนวัตกรรม สามารถพลิกสถานการณ์ได้มากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา  เฉพาะไตรมาสแรกปีนี้ ลดต้นทุนลงได้ 600 ล้านบาท  SCC ไม่หยุด จะทำต่อ และขยายตัวต่อ มีการลงทุนซื้อบริษัทที่ทำหุ่นยนต์เอง เพราะมีการเปลี่ยนแปลงการผลิตเยอะมาก ใช้แขนกลเยอะ  ทำให้อุตสาหกรรมของ SCC เข้มแข็ง และทำให้แข่งขันสู้ได้ในโลก

พี่ใหญ่นำปรับเพิ่มราคาขายปูน ไม่ได้กินรวบ 

การปรับราคาขายปูนซีเมนต์ ทุกคนมองว่าความต้องการลดลง จากการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานไปได้ดี การสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ในนิคมฯก็ไปได้ดี

“เครื่องยนต์ เดินได้น้อยลง ต้องการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม แม้ว่ามีต้นทุน ผลักดันให้เกิดปูนคาร์บอนต่ำ หลายคนมองว่าจะขึ้นราคา SCC พี่ใหญ่ต้องปรับตัวขึ้น อยากให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน เรื่องปูนคาร์บอนต่ำ เราศึกษามา 3 ปีแล้ว แต่เอามาใช้ไม่ได้ เพราะคู่แข่งตามไม่ทัน เราค่อยๆไป มุมมองเราไม่ได้กินรวบ ปูนยังไปได้”

ธุรกิจแพคเก็จจิ้งโตได้อีกมาก

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์หรือแพคเก็จจิ้ง ลิงก์กับการบริโภคและการส่งออก เพราะอาเซียนมีประชากรเกือบ 600 ล้านคน หากดีลเรื่องภาษีกับสหรัฐได้ การบริโภคก็จะเดินไปได้ชัดเจน ส่วนการส่งออกลดลง แต่ยังไปได้ เพราะการใช้แพคเก็จจิ้งผันแปรตามการเจรจา ตอนเลื่อนบังคับใช้ 90 วันความต้องการแพคเก็จจิ้งโตกระโดด ตามความต้องการส่งออก และการบริโภคเคลื่อนไหวตาม GDP โดยรวมไม่ได้แย่  คาดภาพโดยรวมไม่ได้แย่ จากเวียดนามหลุดไปแล้ว 20% เป็นมาตรฐานที่ดี

นอกจากนี้ธูรกิจที่กระจายอยู่ในอินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสเปน ก็มีในส่วนสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง สำหรับเครื่องสำองค์ ถนอมอาหาร และเพิ่มพอร์ตไปเรื่อยๆ ตามเทรนด์ใหญ่ของโลก เช่นการถนอมอาหารที่จะต้องใช้แพคเก็จจิ้งชั้นสูง รวมถึงการแทย์ เทรนด์ใหญ่ของโลก  แต่แน่นอนความต้องการอาจจะขึ้นๆลงๆ ในการเจรจาเรื่องภาษี

ยันกระแสเงินสดปี 68 เพิ่มขึ้น ลดหนี้-แจกปันผลดี

ทางด้านผลการดำเนินงานของ SCC  สิ่งที่ทำได้ดี คือกระแสเงินสด สภาพคล่อง ท่ามกลางสภาวะแบบนี้ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี รอการฟื้นตัว
จะต้องแยกให้ออกระหว่างกำไรสุทธิกับกระแสเงินสด ปี  2567 กำไรอาจจะลดลงเหลือ 6,341.64 ล้านบาท เทียบกับปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ  25,914.98 ล้านบาท เพราะมีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ทางบัญชี เป็นเรื่องค่าเสื่อมราคาของโครงการ LSP  ไม่ใช่เงินสด หากตัดออกจมีกำไร 17,000 ล้านบาท  ขณะที่ปี 2567 ได้กระแสเงินสด 54,000 ล้านบาท เท่าเดิม 2 ปี (2567 และปี 2566) เป็นสิ่งสำคัญ

ธุรกิจที่มีการเติบโตมาจากยอดขาย หักค่าใช้จ่าย  หากรักษากระแสเงินสดได้ ธุรกิจจะแข็งแรง ปีก่อนที่หุ้น SCC ตื่นตระหนก เพราะลืมมองว่ากระแสเงินสดแข็งแรงมาก

ปีนี้ตั้งเป้ากระแสเงินสดดีขึ้น ขณะนี้ก็ยังคงเกาะแผนอยู่ หมายความว่าหากมีกระแสเงินสดดี และ EBITDA ดี มีเงินไปลงทุน จ่ายภาษี จ่ายดอกเบี้ย จ่ายเงินปันผล และมีเงินลดหนี้

“ปีนี้กระแสเงินสดจะดีขึ้นมาก เพราะ LSP มีการลงทุนเพียง  30,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนลงทุน 50,000 ล้านบาท  ส่วนภาระดอกเบี้ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก เพราะหนี้ดอลลาร์จ่ายไปหมดแล้ว ไม่มีความกังวล ส่วนเรื่องภาษีและเงินปันผลจะต้องดูแล  สำหรับเงินสดที่เหลือจะนำไปลดหนี้ เพราะความไม่แน่นอนสูง จะให้ลงทุนมากๆๆ คงจะต้องดูฝุ่นหายตลบ ช่วงนี้ดีที่สุดคือลดหนี้ก่อน หากจะลงทุนเมื่อไร ก็ใส่เข้าไปเพิ่มได้ เราเดินตามแผนที่ประกาศเสมอคือ กระแสเงินสดดีขึ้น ควบคุมค่าใช้จ่าย ปรับปรุงประสิทธิภาพ ต้นทุนลดลง จะดูแลผู้ถือหุ้น และผู้ถือหุ้นกู้ ส่วนที่เหลือเอาไปลดหนี้ก่อน”

ถึงแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจแย่ลง แต่สถานการณ์ของ SCG จะดีขึ้นด้านการเงิน สภาพคล่องแข็งแรงมาก

ดูแลผู้ถือหุ้น-ผู้ถือหุ้นกู้ 

ปี 2567 จ่ายเงินปันผลในอัตรา 95% ของกำไร หลายคนมองว่าทำไมถึงจ่ายเงินปันผลเกือบ 100% จริงๆ อยากจ่าย 100% แต่จ่ายเงินปันผลจากกำไรเกือบทั้งหมด จะมีเงินลงทุนหรือ ปีก่อนลงทุน  5 หมื่นล้านบาท ปีนี้ลงทุน 3 หมื่นล้านบาท แต่การลงทุนปิโตรเคมี  จะต้องดูภาพค่าเฉลี่ย การที่จ่ายเงินปันผล 95% จากกำไรสุทธิ หากคิดจากกระแสเงินสดจะเห็นภาพชัดเจน จ่ายเงินปันผล 6,000 ล้านบาท เทียบกับกระแสเงินสด 54,000 ล้านบาทไม่มาก

” เราจะต้องดูแลผู้ถือหุ้น เพราะเป็นแฟนพันธุแท้ หลายคนเก็บหุ้นมานาน SCC จะต้องดูแลทุกภาคส่วน รวมถึงผู้ถือหุ้นกู้ ไม่มีการลดหนี้หุ้นกู้”

หากจะใช้เงิน เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ผ่านมามีการคุยกันว่าจะเกิดโครงการซื้อคืนหนี้ ซึ่งจะดีกับผู้ถือหุ้นบางคน แต่การจ่ายเงินปันผลจะดีกว่า
ดูแลผู้ถือหุ้นทุกคน ซึ่งที่ผ่านมาได้รับเสียงตอบรับเสียงตอบรับที่ดี เราไม่ได้ใช้จังหวะนี้ ดึงหุ้นคืนแล้วได้กำไร เพราะไม่ได้มาจากธุรกิจ เมื่อมีกระแสเงินสด ก็นำไปลดหนี้ก่อน จะลดหนี้จนกว่าฝุ่นจะหายตลบ ถึงจุดนั้นจะกลับมาพิจารณาอีกครั้ง รู้ว่าอันไหนจะกลับมา ส่วนธุรกิจที่ไม่ทำกำไร จังหวะนี้ได้ดำเนินการ ทำให้กำไรแข็งแกร่ง”

อีก 3 ปี SCC  กระแสเงินสดจะโตกระชากจากปิโตร 

3 ปีข้างหน้าธุรกิจปิโตรเคมีจะกลับมา และอีเทนจะเป็นตัว boost กระแสเงินสดจะโตกระชาก ส่วนปูนคาร์บอนต่ำ อยากจะเห็นเจน 3 ทั้งภูมิภาคไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย เพราะจะเข้มแข็งมาก ส่วนวัสดุก่อสร้างจะเปลี่ยนขบวนการผลิต เป็นขนาดใหญ่ขึ้น และมูลค่าเพิ่มระดับสูง ใช้ AI จะเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆและต้นทุนใหม่ แข่งขันกับจีนได้

ส่งสินค้าไปขายในจีน ตลาดใหญ่มาก

ถ้าทำให้แข่งขันกับจีนได้ ตั้งใจแข่งได้ เพราะตลาดใหญ่มาก “เราอย่ามองแต่รับ จะต้องมองเชิงรุก” ตลาดจีนกว้างใหม่มาก พลังงานสะอาดมาแน่  กรณีสเปนไฟดับ และการใช้พลังงานลม จะต้องใช้ที่กักเก็บพลังงาน สิ่งที่โปรมโมทอยู่ เรื่องเทคโนโลยีใหม่ โซลาร์เซลจะต้องมา เราเร่งทำ

“SCG ดูจากสินทรัพย์ใหญ่มาก จะทำให้ 10% ต้องมูลค่า 1 แสนล้านบาท จะต้องใช้เวลา และจะต้องไล่ไป ถามว่าเราจะทำไหม ผลตอบแทนด้านพลังงานสะอาด ไปได้ดีทีเดียว ธุรกิ แพคเก็จจิ้งเชื่อว่าจะโต ปูนและวัสดุก่อสร้างหากเข้าจีนได้ จะเติบโตกระโดดมาก สิ่งที่จะเห็น ปิโตรเคมีจะผันผวนวสูง แต่ทำให้ “เวลาขึ้นครั้งนี้จะขึ้นสุด แต่ลงครั้งหน้าจะไม่สุด” พลังงานสะอาดจะมั่นคง แดดออกเมื่อไร มีเงิน จะต้องดูแลแผงให้สะอาด กักเก็บได้ อันนี้จะเป็นความมั่นคง พยายามนสร้างกระแสเงินสดมีเสถียรภาพไม่ผันผวนตามปิโตรเคมี และทำให้ SCC มีเสถียรภาพ ในระยะยาว”

ระยะยาวอยู่กับหุ้น SCC ได้ 

ถ้าพูดถึงราคาหุ้น SCC มีหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบ ภาพของเมืองไทยดูเหมือนมีปัญหาเยอะ มีปัจจัยเหล่านี้เข้ามา แต่ก็เห็นใจ ทำให้มองว่าถ้าเป็นผู้ถือหุ้น SCC เราจะต้องดูแลเรื่องเงินปันผล จะต้องดูแลชัดเจนอีก 10 ปี 20 ปีหรือ 30 ปี SCC จะต้องเติบโตแข็งแกร่ง ดังนั้นในระยะยาวอยู่กับ SCG ได้ แต่ในระยะสั้น เซนทิเมนต์ เมืองไทยจะเป็นอย่างไร ตรงนี้บอกอยาก แต่จะพยายามทำให้เห็นว่าครึ่งหนึ่งเมืองไทย อีก ครึ่งหนึ่งไม่ใช่เมืองไทย จะมีความเข้มแข็งเหมือนเดิม การพยายามสร้าง โดยเฉพาะกระแสเงินสดยังดีเหมือนเดิม ให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ถือหุ้นและผู้ถือหุ้นกู้

“เรามอง long gain ไม่ได้มอง short  gain คิดจะลงทุนกับเราระยะยาว ผมมั่นใจ”กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวท้ายที่สุด