ยูโอบี ชี้ธุรกิจไทยเร่งรับมือภาษีสหรัฐฯ ขยายตลาดอาเซียน-ผลักดันธุรกิจยั่งยืน

HoonSmart.com>>ยูโอบี ประเทศไทย เปิดผลสำรวจปี’68 พบธุรกิจไทยเร่งปรับตัวฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก-รับมือภาษีการค้าสหรัฐ มุ่งขยายตลาดอาเซียน ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพ และผลักดันเป้าหมายความยั่งยืนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว

นายสถิตย์ แถลงสัตย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจสัมพันธ์  ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผย รายงาน UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 ซึ่งจัดเก็บข้อมูลเมื่อมกราคม 2568 และสัมภาษณ์เพิ่มเติมในเดือนเมษายน 2568 พบว่า ภาคธุรกิจไทยดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง และยังแสดงศักยภาพในการปรับตัว ผ่านการขยายโอกาสในภูมิภาคอาเซียน เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ผลสำรวจพบว่า ภายหลังจากการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา มากกว่า 90% ของภาคธุรกิจคาดว่าจะเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน 68% คาดว่าจะปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเร็วยิ่งขึ้น และ 60% มองว่าความยั่งยืนมีความสำคัญ โดยมีมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาเป็นปัจจัยเร่งสำคัญ

สำหรับ ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนถึงความสามารถของภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวต่อความท้าทายระดับโลก ด้วยการมองหาโอกาสใหม่ในระดับภูมิภาค การประยุกต์ใช้เครื่องมือดิจิทัล และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ล้วนเป็นแนวทางที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในภาคธุรกิจในระยะยาว อย่างมั่นคง

 

ธนาคารยูโอบีพร้อมสนับสนุนภาคธุรกิจไทยอย่างเต็มที่ ด้วยโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ ความเชี่ยวชาญในตลาดภายในประเทศ และเครือข่ายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน

ภาษีสหรัฐฯ ฉุดความเชื่อมั่น

ผลสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจาก 58% ในปี 2568 เหลือ 52% ภายหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กแสดงความกังวลมากที่สุด

ปัจจัยหลักที่สร้างแรงกดดันคือ ต้นทุนการดำเนินงานและเงินเฟ้อ โดย 60% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น และ 57% คาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คืออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการให้บริการ

3 มาตรการรับมือ

ภาคธุรกิจไทย เตรียมมาตรการรับมือ ด้วยการ
1.ลดต้นทุน: ธุรกิจ 3 ใน 5 โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง (67%) ได้ดำเนินการมาตรการลดต้นทุน
2.เพิ่มรายได้ธุรกิจจำนวนมากมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่และแสวงหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
3.ต้องการการสนับสนุน ธุรกิจให้ความสำคัญกับความช่วยหลือทางการเงิน (92%) การสนับสนุนด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน (65%) และการให้คำปรึกษาหรือฝึกอบรม (50%) เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัว

มุ่งขยายตลาดภูมิภาค

ทั้งนี้ พบว่า  90% ของธุรกิจไทยมุ่งเน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกากลับส่งผลให้ภาวะหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทวีความรุนแรงขึ้น
80% ของธุรกิจคาดว่าจะเผชิญความท้าทายเพิ่มเติมจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง

สำหรับ แนวทางสำคัญที่ธุรกิจจะใช้ในการรับมือ ได้แก่
การวิเคราะห์ข้อมูล: ธุรกิจ 4 ใน 10 ราย นำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2567 แซงหน้ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง
การค้าภายในภูมิภาคอาเซียน: ธุรกิจเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้การค้าภายในภูมิภาคเติบโต
ความต้องการสนับสนุน: ธุรกิจมองหามาตรการจูงใจทางภาษี การเข้าถึงเทคโนโลยี และการฝึกอบรมแรงงาน

เปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล

การปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจ โดยเกือบ 40% ของธุรกิจได้นำเครื่องมือดิจิทัลมาผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ และ 68% คาดว่าจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง

ทั้งนี้ ธุรกิจไทยมองว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ อาทิ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายการเข้าถึงลูกค้า และการเข้าสู่ตลาดที่รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้นทุน และความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูล ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ และกระตุ้นความต้องการด้านการฝึกอบรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะอุตสาหกรรม

เร่งสู่ความยั่งยืน

แม้ว่ามากกว่า 90% ของธุรกิจจะตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน แต่มีเพียง 53% เท่านั้นที่ได้นำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง
อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มากกว่า 60% คาดว่าจะเร่งดำเนินมาตรการเพื่อความยั่งยืน อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนที่สูง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ มากกว่า 30% อยู่ระหว่างการพิจารณานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ พร้อมทั้งแสวงหาข้อมูลและคำปรึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางดังกล่าว

ขยายธุรกิจสู่อาเซียน

ธุรกิจไทยเกือบ 90% มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมากกว่า 50% คาดว่าจะเร่งดำเนินการหลังมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม รองลงมาคือจีนและภูมิภาคเอเชียเหนือ
ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตของรายได้และกำไร แม้ยังเผชิญความท้าทายด้านจำนวนลูกค้าและความเข้าใจตลาดที่จำกัดในแต่ละประเทศก็ตาม ภาคธุรกิจจึงต้องการข้อมูลเชิงลึก การสนับสนุนทางการเงิน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายตลาดข้ามพรมแดน

แรงงานปัญหาหลัก

ครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทยยังคงเผชิญปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้และความคาดหวังของบุคลากรรุ่นใหม่

ผลการสำรวจยังชี้ว่า ธุรกิจเกือบ 40% จึงประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ แนวทางรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่ การเพิ่มค่าตอบแทน การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และการสลับบทบาทหน้าที่ภายในองค์กร

นายสถิตย์ กล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยระยะยาวจะต้องอาศัย “เครื่องยนต์การเติบโตใหม่” ครอบคลุมสามภาคส่วนหลัก ได้แก่

อุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์ไฟฟ้า และหุ่นยนต์อัจฉริยะ
เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและความยั่งยืน ที่เน้นการลดการปล่อยคาร์บอนและการลงทุนในพลังงานสะอาด
บริการมูลค่าสูง อาทิ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การแพทย์ขั้นสูง และบริการการเงินดิจิทัลที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ แต่ยังสอดคล้องกับกระแสโลกที่กำลังให้ความสำคัญกับ ESG และเศรษฐกิจสีเขียว