ดาวโจนส์ปิดร่วง 422 จุด ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ 25%

HoonSmart.com>>ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 7 ก.ค. 2568 ปิดที่ 44,406.36 จุด ลดลง 422.17 จุด หรือ -0.94% จากแรงเทขายเนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯส่งจดหมายถึงประเทศต่างๆ ที่ระบุถึงภาษีนำเข้าสินค้าที่จะเรียกเก็บ รวมไปถึงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ที่สูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นพัฒนาการล่าสุดของสงครามการค้าจากสหรัฐฯ

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,229.98 จุด ลดลง 49.37 จุด, -0.79%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,412.52 จุด ลดลง 188.59 จุด, -0.92%

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการในวันศุกร์ ( 4 ก.ค.)เนื่องในวันชาติหุ้นร่วงลงในช่วงเที่ยงวัน หลังจากทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ 25% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม และหุ้นยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่องไปที่ระดับต่ำสุดของวันในช่วงบ่าย เนื่องจากทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเมียนมา มาเลเซีย คาซัคสถาน ลาว และแอฟริกาใต้ในอัตราที่แตกต่างกันตั้งแต่ 25% ถึง 40%

สำหรับประเทศไทยทรัมป์ยังได้ประกาศอัตราภาษีที่จะเรียกเก็บในอัตรา 36% ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ขณะที่มาเลเซียถูกเรียกเก็บ 25% เพิ่มขึ้นจาก 24%

ทรัมป์โพสต์จดหมายบนเว็บไซต์ Truth Social โดยระบุถึงภาษีศุลกากรซึ่งแยกจากภาษีศุลกากรรายกลุ่มอุตสาหกรรม อัตราภาษีศุลกากร “อาจมีการปรับเปลี่ยน ขึ้นหรือลง” ตามที่ระบุไว้ในจดหมาย

แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่าจะมีจดหมาย 14 ฉบับถูกส่งออกในวันจันทร์ และคาดว่าจะมีฉบับอื่นๆ ตามมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า และกล่าวอีกว่าทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อเลื่อนกำหนดเส้นตายภาษีศุลกากรจากวันที่ 9 ก.ค.ออกไปจนถึงวันที่ 1 ส.ค.

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขู่ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 10% ต่อประเทศที่สนับสนุน “นโยบายต่อต้านอเมริกาของกลุ่ม BRICS” ซึ่งหมายถึงประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน โดยทรัมป์ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายเฉพาะใดๆ ของกลุ่ม BRICS

หุ้น Tesla ร่วงลง 6.8% หลังจากที่ซีอีโอ Elon Musk ประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองของสหรัฐฯ ที่ใช้ชื่อว่า “American Party”

หุ้นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ได้แก่ โตโยต้า นิสสัน และฮอนด้า ลดลง 4%, 7.16% และ 3.86% ตามลำดับ
หุ้นบริษัทเทคโนโลยีหลักของเกาหลีใต้ ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ LG Display และ SK Telecom ร่วงลง 8.3% และ 7.76% ตามลำดับ
กองทุนETFที่บริหารจัดการโดย BlackRock ซึ่งติดตามหุ้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แอฟริกาใต้ และมาเลเซีย ลดลง 2.4%, 3.56%, 1.73% และ 1.97% ตามลำดับ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น มาที่ 4.397% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาที่ 3.901%

ตลาดจับตาการเผยแพร่รายงานการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนกำลังประเมินว่าเฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยกี่ครั้งในปีนี้ หลังจากข้อมูลการจ้างงานในเดือนมิถุนายนเมื่อวันพฤหัสบดีแสดงให้เห็นว่าการจ้างงานเพิ่มมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้

ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีและธนาคารที่พุ่งขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ ซึ่งนักลงทุนต่างจับตาดูความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการค้าในช่วงนับถอยหลังสู่เส้นตายการจัดเก็บภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ

ดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรปิดลบ เนื่องจากหุ้นของ Shell ร่วงลง 2.9% หลังบริษัทพลังงานรายใหญ่ระบุว่าคาดว่ารายได้ไตรมาสนี้จะได้รับผลกระทบจากการซื้อขายที่อ่อนลงในแผนกก๊าซแบบบูรณาการ และการขาดทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์

ความเชื่อมั่นยังคงสั่นคลอน เนื่องจากรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวว่าสหรัฐฯ จะประกาศการค้าหลายรายการในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า

สหภาพยุโรปยังคงมีเป้าหมายที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าภายในวันที่ 9 ก.ค. หลังจากที่นางอัวร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการ และทรัมป์มีการแลกเปลี่ยนความเห็นที่ดี

ทรัมป์กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า สหรัฐฯ ใกล้จะสรุปข้อตกลงการค้าหลายฉบับแล้ว และจะแจ้งให้ประเทศอื่นๆ ทราบภายในวันที่ 9 ก.ค.เกี่ยวกับอัตราภาษีที่สูงขึ้น และกล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าวจะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าจะถึงวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งเป็นการผ่อนผันเป็นเวลา 3 สัปดาห์
หุ้นเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในดัชนี STOXX โดยหุ้น SAP ของเยอรมนีและ ASML ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ต่างก็พุ่งขึ้นราว 2%

กลุ่มธนาคารยูโรโซนเพิ่มขึ้น 1.6% โดยหุ้น Societe Generale ของฝรั่งเศสพุ่งขึ้น 2.8% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2017
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจ ผลการสำรวจพบว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนในยูโรโซนปรับตัวดีขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ในเดือนกรกฎาคม โดยแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี

ตลาดรอการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนของเยอรมนีและฝรั่งเศส รวมถึงตัวเลข GDP ของสหราชอาณาจักร และรายงานการประชุมนโยบายครั้งสุดท้ายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธ

ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 543.50 จุด เพิ่มขึ้น 2.37 จุด, +0.44%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,806.53 จุด ลดลง 16.38 จุด, -0.19%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,723.47 จุด เพิ่มขึ้น 27.20 จุด, +0.35%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,073.67 จุด เพิ่มขึ้น 286.22 จุด, +1.20%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.39% ปิดที่ 67.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 1.28 ดอลลาร์ หรือ 1.87% ปิดที่ 69.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–