บลจ.มองลงทุนครึ่งปีหลังผันผวนสูง แนะปรับพอร์ตกระจายลงทุนหลายสินทรัพย์

HoonSmart.com>> บลจ.มองแนวโน้มครึ่งปีหลังความผันผวนสูง ผลกระทบภาษีทรัมป์ เศรษฐกิจโลกชะลอตัว แนะปรับพอร์ตกระจายความเสี่ยงหลากหลายสินทรัพย์ “หุ้น-ตราสารหนี้-สินทรัพย์ทางเลือก” ด้าน “บลจ.ยูโอบี” แนะเน้นเลือกบริษัทคุณภาพดี เป็นผู้นำตลาด พร้อมเพิ่มการลงทุน Income Theme ช่วยนักลงทุนช่วงตลาด Risk-Off “บลจ.ไทยพาณิชย์” มองธีม AI ยังมาแรง ฟาก “MFC” แนะจัดพอร์ตหุ้น 40% ตราสารหนี้ 40% และสินทรัพย์ทางเลือก 20% พร้อมเปิดธีมลงทุนครึ่งปีหลัง มองหุ้นไทยสิ้นปี 1,200 จุด ลงทุนเพื่อหวังเงินปันผล

บริษัทหลักทรัพย์หลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) โดย IWC Private Banking จัดสัมมนามุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลัง โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) 3 บริษัทมาให้มุมมองผ่านหัวข้อ “The World After us Trade War : ใครรอด ใครร่วง ตั้งการ์ดเตรียมรับมือ”

นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวลง ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นกับทุกประเทศจากต้นทุนที่สูงขึ้น ไทยเองก็เช่นกัน ยังต้องรอผลการเจรจา จึงเชื่อว่าไตรมาส 3-4 นี้ว่า “ความไม่แน่นอน เป็นสิ่งที่แน่นอน” แต่โอกาสที่เศรษฐกิจจะถดถอย มีค่อนข้างน้อย หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืดระยะเวลาการเจรจาการค้าให้กับคู่ค้าสำคัญ รวมถึงการที่ธนาคารกลางทั่วโลกอยู่ในทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง โดยบลจ.ยูโอบี คาดว่าเฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมีเพียงธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ดอกเบี้ยอยู่ในขาขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“เรามองว่า ระยะสั้นปัจจัยบวกจากเทคนิเคิลรีบาวด์และกำไรหุ้นเทคช่วยซัพพอร์ตความเสี่ยงในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นไตรมาสจริงที่จะเห็นผลกระทบจากการขึ้นภาษีของผูัผลิต ต้องดูต้นทุนของผู้ผลิตและราคาสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อจะส่งผลต่อเงินเฟ้ออย่างไร รอดูเงินเฟ้อที่เป็นผลจากภาษี และนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)”นายกุลฉัตร กล่าว

อย่างไรก็ตามมองในช่วง 2 เดือนนี้ความผันผวนจะสูงขึ้น ต้องเตรียมความพร้อมของพอร์ตเพื่อรับมือ แนะนำจัดพอร์ตแบบผสม กระจายลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก หากรับความเสี่ยงได้สูงก็เพิ่มสัดส่วนหุ้นได้มากขึ้น ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อยก็ลดสัดส่วนหุ้นลง โดยแนะนำการจัดพอร์ตแบบ Core Allocation ลงทุนระยะยาว 12 เดือนขึ้นไปและจัดพอร์ตแบบ Tactical จับจังหวะตลาดในไตรมาส 3 ว่ามีโอกาสในการลงทุนที่ไหน ดังนั้นการจัดพอร์ตภายใต้มุมมองการลงทุนซึ่งมีความผันผวนสูง มีความไม่แน่นอนสูง จึงเน้นลงทุนบริษัทคุณภาพดีเป็นผู้นำตลาด เป็นผู้กำหนดราคาขายได้ หรือมีเทคโนโลยีโตไปในอนาคตได้มากกว่าคนอื่น

ขณะเดียวกันเพิ่มการลงทุนใน Income Theme เป็นส่วนช่วยนักลงทุนในช่วงตลาด Risk-Off การมีน้ำหนักลงทุนในกองทุนตราสารหนี้คุณภาพดีที่ดอกเบี้ยรับน่าสนใจ รวมถึงตราสารหนี้นอกตลาดสำหรับนักลงทุน UHNW ช่วยให้ภาพรวมผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงของพอร์ตดูดีขึ้นบนความเสี่ยงด้านนโยบายระหว่งประเทศ

สำหรับกองทุนแนะนำ ได้แก่ UGSTAR ลงทุนกลุ่มหุ้นชั้นนำคุณภาพดีทั่วโลก บริหารพอร์ตแบบ Balance ระหว่างหุ้น Growth & Quality ผลประกอบการที่ผ่านมาสามารถทนทานความผันผวนได้ กองตราสารหนี้ต่างประเทศ ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมทั้งหมด และสร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ แนะนำกองทุน UGIS ส่วนการลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกแนะนำกองทุน UGEAR มีนโยบายลงทุนแบบทางสายกลาง สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอไม่อ้างอิงภาวะตลาด มอง 12 เดือนขางหน้ายังมีความผันผวนสูงและกองทุน UGD เน้นบริษัทที่มีคุณภาพโตได้ในภาวะที่ผันผวน เน้นหุ้นทั่วโลกขนาดกลาง


ส่วนการจัดพอร์ตแบบ Tactical แนะนำลงทุนทางเลือกในกองทุนทองคำ UOBSG แต่ไม่ควรมีน้ำหนักมากไปในพอร์ต เพราะราคาปรับขึ้นมามากอาจขายทำกำไรออกมาและหาทางเลือกลงทุนอื่นๆ เช่น หุ้นเอเชีย แนะนำกองทุน UEMIF ซึ่งมองเป็นธีมที่สามารถลงทุนได้ใน 6 เดือน โดยมองตลาดหุ้นเกิดใหม่ได้ปัจจัยหนุนจากดอกเบี้ยมีโอกาสปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาหุ้นไม่แพง และการที่สหรัฐอาจค่อยๆ ด้อยค่าลง และราคาน้ำมันอาจที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดเกิดใหม่หลายประเทศมีน้ำมันเป็นของตัวเอง ก็ได้ผลบวก รวมทั้งจีน ซึ่งหลายคมองแย่ในช่วงต้นปี ตอนนี้เริ่มรีบาวด์ขึ้นมาและราคายังไม่แพง นโบายการลงทุนเปิดกว้างสำหรับโอกาสในการเติบโตในอนาคตของหุ้นจีนในประเทศ กองทุนแนะนำ UCHINA

นอกจากนี้หุ้นยุโรปก็น่าสนใจปัจจุบันมีการพึ่งพาตัวเองมากขึ้นและกรณีรัสเซีย ยูเครนช่วยปลอดล็อคให้ยุโรปได้ รวมทั้งธนาคารกลางยุโรปปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับหุ้นยุโรป แนะนำกองทุน UHD

“บลจ.ไทยพาณิชย์มองธีม AI ยังมาแรง”

ด้านนางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลลัพธ์ของการเจรจาหลัง 90 วันยังมีความไม่แน่นอนสูง อาจทำให้สหรัฐฯ ใช้ภาษีรายสินค้า (Product specific tariff) มากขึ้นและมีความเสี่ยงที่สหรัฐฯจะกลับมาขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตราสูงสุดยังมีอยู่ ซึ่งจะทำให้ประเทศเอเชียได้รับผลกระทบมาก เพราะอัตราภาษีสูงและพึ่งพาการส่งออกสูง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญเงินเฟ้อสูงขึ้น หลายประเทศอาจเผชิญแรงกดดันเงินฝืดจากสินค้าจีนราคาถูก ส่วนไทยเจรจาการค้าสหรัฐฯ มีแนวโน้มได้ข้อสรุปไม่ทันเส้นตาย 90 วัน

“การขึ้นภาษีทำให้ต้นทุนบริษัทสูงขึ้น ทั้งผู้บริโภค บริษัทและการส่งออก แต่บริษัทสหรัฐฯก็ยังได้เปรียบหลายมิติ อย่างไรก็ตามมองว่าตราบใดที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังอยู่ ความเสี่ยงก็มีเรื่อยๆ และการลดภาษีของสหรัฐฯ ให้แก่ภาคเอกชนและบริษัทต่างๆ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีความเปราะบางเป็นความเสี่ยง นอกจากนี้เรายังไม่รู้ว่าแต่ละนโยบายอื่นๆที่ออกมาจะเป็นอย่างไร เงินที่จะใช้เอามาจากไหนและผลประโยชน์ต่อสหรัฐฯจะเป็นอย่างไร เพราะสหรัฐฯต้องกู้มากขึ้น ออกพันธบัตรมากขึ้น ความกังวลของนักลงทุนที่กลัวดอลลาร์จะอ่อนค่าลง ราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้นมาก สะท้อนความเสี่ยงยังมีอยู่มาก”นางนันท์มนัส กล่าว

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเผชิญความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระดับสูง ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการค้าและการลงทุน ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะชะลอตัวลงแต่ไม่ถดถอย เนื่องจากมีแรงหนุนจากนโยบายการคลังและการเงิน รวมทั้งเชื่อว่าเฟดยังอยู่ในช่วงลดดอกเบี้ยลง เช่นเดียวกับไทยที่คาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ย

นางมนัสนันท์ กล่าวว่า การจัดพอร์ตลงทุนในครึ่งปีหลังยังแนะนำลงทุนในหุ้น แต่จะคาดหวังผลตอบแทน 20-30% คงยาก แต่ก็สูงกว่าตราสารหนี้ ส่วนทิศทางดอกเบี้ยยังเป็นขาลง ตราสารหนี้ก็ยังควรมีในพอร์ต จะช่วยลดแรงกระแทกจากหุ้นที่ผันผวนได้ โดยมองกองทุนตราสารหนี้ไทยยังน่าสนใจ เมื่อเทียบกับลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแม้จะได้ผลตอบแทน 4% แต่เมื่อป้องกันความเสี่ยงค่าเงินกลับมาก็เหลือประมาณ 1% ไม่ได้ต่างกับตราสารหนี้ในไทย เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่ดีหรือพันธบัตรระะยะยาวก็น่าสนใจ ปัจจุบันสภาพคล่องในไทยสูงมาก แบงก์ไม่ปล่อยกู้ ส่วนทองคำแม้ราคาจะปรับขึ้นมาสูงมาก แต่ยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศยังทยอยซื้อทองเพื่อสำรองไว้ บางประเทศถือทอง 70% ของเงินทุนสำรองประเทศ ขณะที่จีนยังถือแค่ 10% หรือตลาดเกิดใหม่ที่ถือทองเฉลี่ย 10% เท่านั้น หากทั่วโลกมีการกระจายเงินออกจากดอลลาร์ก็เป็นปัจจัยหนุนราคาทองแต่อาจต้องถือระยะยาว ส่วนนักลงทุนที่เทรดระยะสั้นอาจต้องระวังและลดน้ำหนัก เพราะราคาขึ้นมามาก

“ธีมการลงทุนแนะนำให้นักลงทุนกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ ซึ่งหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังชอบอยู่ แต่ไม่ใช่กลุ่มเทค เป็นหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งหุ้น 7 นางฟ้าหลายตัวก็อยู่ในกลุ่มนี้ รวมถึงบริษัทที่นำธีม AI ไปปรับใช้จะหนุนการเติบโตของกำไรได้ นอกจากนี้หุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ยกเว้นญี่ปุ่น ก็น่าสนใจ เศรษฐกิจดีกว่าคาดหนุนประมาณการกำไรขึ้นและจาก De-Dollarization กดดันดอลลาร์อ่อน ก็เป็นบวกต่อค่าเงินและตลาดหุ้นเอเชีย รวมทั้งราคาหุ้นเทคโนโลยีจีนยังถูกกว่าสหรัฐฯอยู่มา ส่วนตลาดหุ้นยุโรปและละตินอเมริกาก็น่าสนใจเช่นกัน แต่ราคาก็ปรับขึ้นมามาก จึงมองหุ้นเอเชียยังแรคการ์ด น่าสนใจ”นางมนัสนันท์ กล่าว

สำหรับกองทุนหุ้นแนะนำ SCBUSA เน้นลงทุนหุ้นเติบโตสูง ให้น้ำหนักหุ้นเทคโนโลยีและบริษัทที่เติบโตได้จากการนำเทคโนโลยี AI มาใช้น่าสนใจ ,กองทุนตราสารหนี้แนะนำ SCBDBOND เน้นลงทุนตราสารหนี้ไทยเป็นหลัก และหาโอกาสในการลงทุนต่างประเทศได้ เช่น พันธบัตรยุโรปก็น่าสนใจ อยู่ในช่วงปรับลดดอกเบี้ย ลงทุนเพิ่ม

ส่วนกองทุนทองคำ แนะนำ SCBGOLDH ที่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เนื่องจากราคาทองขึ้นมามาก ขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนหันมาเพิ่มน้ำหนักในทอง รวมถึงความต้องการทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลกยังแข็งแกร่ง และทองคำยังเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์

MFC เปิดธีมลงทุนครึ่งปีหลัง

ด้านนายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวางแผนการลงทุนส่วนบุคคล บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะชะลอตัว แต่ไม่ถดถอย ที่ผ่านมาหุ้นเทคโนโลยียังเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากภาษี กำไรที่ออกมาของกลุ่มเทคโนโลยียังเติบโตในบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ตลาดยังเชื่อมั่นในการเติบโตของรายได้ โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 7 นางฟ้า หากตัดหุ้นเทคโนโลยีและกลุ่ม 7 นางฟ้า จะเห็นได้ว่าหุ้นสหรัฐฯไม่ได้ปรับตัวขึ้นเท่าไร

อย่างไรก็ตามมองผลกระทบ 6 เดือนจากภาษีที่จะเกิดขึ้นแนะนำว่า หากมีสัดส่วนหุ้นมากเกินไปแนะนำให้ลดพอร์ตลง เพราะระยะยาวยังมีความเสี่ยงอยู่ และปลายไตรมาส 4 หรือธ.ค.ต้องระวัง

“ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำนิวไฮ ยุโรปเองก็นิวไฮ ส่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่ก็ฟื้นตัว ดังนั้นถ้าหุ้นสหรัฐฯ ตัดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ 7 นางฟ้าออกตลาดก็ไม่ได้เด่นนัก และตอนนี้ความศรัทธาในค่าเงินดอลลาร์ลดลง จึงเห็นราคาทองคำปรับตัวขึ้นมานอกเหนือจากแรงหนุนปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนเริ่มถอยออกจากสหรัฐฯ เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ภาพก็เป็นหุ้นเทคโนโลยี หากนักลงทุนอยากลดน้ำหนักลง ก็มองตลาดหุ้นยุโรปน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ ทำผลงานได้ดี ปัจจุบันเงินกองทุนของธนาคารในยุโรปแข็งกร่งกว่าสหรัฐฯ หรืออาจลงทุนหุ้นจีนที่มองว่ามีโอกาสสูงที่ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่คงยังไม่เห็นการปรับตัวขึ้นเร็วเหมือนในอดีต ภาพน่าจะไซดเวย์ไต่ระดับขึ้น”นายเชวน์กร กล่าว

กลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลังยังมองธีม AI และ Software น่าสนใจ แต่ราคาเริ่มแพง ถ้ามีสัดส่วนหุ้นเทคในสหรัฐฯ มากไปก็แนะนำให้ลดลงบ้าง ธีม World Defense และ Cybersecurity ซึ่งทั้งสองธีมนี้เกี่ยวข้องกัน เกี่ยวกับอาวุธ ซึ่งทุกชาติในโลกรู้สึกถึงความไม่มั่นคงของตัวเอง แต่ละประเทศจึงมีงบอัดฉีดการซื้ออาวุธ รวมถึง Cybersecurity ก็น่าสนใจ ความปลอดภัยการโจมตีทางไซเบอร์, Didital Asset & Blockchain , Large-Cap Quality หุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ, Losing Trust in Dollar ที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมา รวมถึงการลงทุนตราสารหนี้ยุโรป ตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ไทย

นอกจากนี้สามารถกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ เช่น Private Asset ลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ซึ่งมีการบันทึกมูลค่าตามราคาเหมาะสม ไม่ได้ขึ้นลงเหมือนตลาดหุ้น ที่ตกใจก็ขาย แต่ Private Asset มีความเหวี่ยงน้อยกว่าสินทรัพย์ในตลาดขึ้นลงเร็ว และธีม Multi-Asset Income

นายเชาวน์กร กล่าวว่า พอร์ตการลงทุนแนะนำลงทุนหุ้น 40% ตราสารหนี้ 40% และสินทรัพย์ทางเลือก 20% โดยในส่วนของหุ้นให้น้ำหนักหุ้นต่างประเทศมากกว่า แบ่งเป็นหุ้นสหรัฐ 20% หุ้นไทย 10% ที่เหลือกระจายไปยังหุ้นจีน 5% หุ้นยุโรป 5% หรือหากชอบหุ้นอินเดียก็ลงทุนแทนจีน ส่วนตราสารหนี้เน้นไทย 20-30% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 10% ไม่ต้องป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนสินทรัพย์ทางเลือก 20% กระจายลงทุนใน Private Asset ซึ่งอาจเป็น Private Equity , Private Credit และอีก 5% ลงทุนในทองคำ

“สำหรับแนวโน้มหุ้นไทย มองระยะสั้นราคาลงมาถูกดาวน์ไซด์จำกัด สามารถซื้อเพื่อหวังปันผลได้ เพราะหุ้นหลายตัวจ่ายปันผลดีใน SET50 ส่วนการเติบโตคงยังไม่เห็นไวนัก ต้องมาพร้อมความชัดเจน ขณะที่ปัจจุบันภาพยังไม่ชัดเลยคาดการณ์ยาก การเติบโตเป็นเรื่องรอง เน้นที่ปันผล กระแสเงินสดมาก่อน ส่วนเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้มองไว้ที่ 1,200 จุด พี/อี 13-14 เท่า จากต้นปีที่มองไว้ 1,300 จุด โดยปัจจัยการเมืองยังกดดันการลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติหากการเมืองยังไม่นิ่งฟันด์โฟลว์ก็ยังไม่เข้ามา”