กกร.หั่นเป้าศก.ปี 68 โตแค่ 1.5-2.0% เสนอ 3 มาตรการกระตุ้น ส่งออกส่อหดตัวยับ

HoonSmart.om>>คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) หั่นประมาณการเศรษฐกิจปี 68 เหลือโต 1.5-2% หลังประเมินส่งออกมีโอกาสติดลบ -0.5% ถึงโตเพียง 0.3% เสนอเศรษฐกิจจะเติบโตถึง 2% รัฐจะต้องมีโครงการกระตุ้นตรงเป้า เร่งรัดการใช้จ่ายถึง 70%   ขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล ห่วงการสวมสิทธิ์การส่งออก การ re-export โดยใช้วัตถุดิบในประเทศต่ำ เรียกร้องช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำ คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 1.5-2.0% ตามการส่งออกสินค้า และการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง ทำให้เศรษฐกิจโตไม่ถึง 1% ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯ และไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง การเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน

“กกร.ปรับลดเป้าส่งออกปีนี้ ลงเหลือ -0.5-0.3% จากเดิมคาดโต 0.3-0.9% ส่วนอัตราเงินเฟ้อ ยังคงไว้ที่ 0.5-1.0%”

ที่ประชุม กกร. เสนอแนะว่า เศรษฐกิจจะเติบโตได้ 2.0% จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ เร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวประมาณ  17.0% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลง และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว

ปัจจุบันมาตรการของภาครัฐเป็นระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่อง ทั้งมาตรการระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและควรมีความยืดหยุ่นพร้อมสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก  ป้องกันการไหลบ่าของสินค้านำเข้าผ่านการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบสินค้าผ่านด่านอย่างเข้มงวด ป้องกันการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก

“ที่ประชุม กกร. มีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิ์การส่งออก และการ re-export โดยใช้วัตถุดิบในประเทศต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ และประเทศไทยยังขาดการเชื่อมโยงด้านการนำเข้ากับส่งออก ที่ทำให้เข้าใจภาพเศรษฐกิจในเชิงลึก เพื่อให้สามารถติดตามและแก้ปัญหา re-export ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น “นายผยงกล่าว

ปัจจุบันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังสูง เพราะอาจเกิดผลกระทบยาวและลึก จึงต้องมีการวางมาตรการป้องกันที่จะประคับประคองธุรกิจผ่านพ้นช่วงผันผวนไปให้ได้ การจัดสรรทรัพยากรจึงต้องให้เกิดความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมีข้อมูลจำเพาะที่ตอบโจทย์ลูกค้าตัวเองที่ต่างกันและต้องทบทวนสถานการณ์ตลอดเวลา ขณะที่กลุ่มลูกค้าก็ชะลอการลงทุน หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าว ไทยพร้อมที่จะเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ แต่ต้องรอช่วงจังหวะเวลาที่จะนัดหมายให้ตรงกัน ซึ่งเหลือเวลาอีกราว 30 วันก็จะพ้นกรอบเวลาที่ชะลอการบังคับใช้มาตรการภาษี ดังนั้นจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด