HoonSmart.com>> ปตท.คาดสรุปผู้ร่วมทุนธุรกิจปิโตรเคมี ได้ปลายปีนี้ เน้นรายที่มีวัตถุดิบ เทคโนโลยี ย้ำ PTT ยังถือหุ้นใหญ่ ย้ำมาถูกทางหลังปรับกลยุทธ์ 1 ปี ลั่น EBITDA เพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาทปี’68 เป็นสิ่งที่ทำได้ วอร์รูมเคาะ 5 แผนรับมือเศรษฐกิจถดถอย ลุยสร้างความแข็งแกร่ง MissionX เด่นสุดปี’70 สร้างเม็ดเงินให้กลุ่ม ปตท. 3 หมื่นล้านบาท ต่อด้วยโครงการ Axis ปี’72 สร้างมูลค่าอีก 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี เป้าเติบโตยั่งยืนระดับโลก
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ภายในสิ้นปี 2568 นี้จะสามารถสรุปผู้ร่วมทุนในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจากับหลายราย โดย ปตท.มองหาพาร์ทเนอร์ที่ต้องเป็นรายใหญ่ มีวัตถุดิบ มีเทคโนโลยี และปตท.ต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นเป้าหมาย เพราะธุรกิจปิโตรเคมีถือเป็นธุรกิจเรือธงที่สำคัญ
“เหตุที่ต้องหาผู้ร่วมทุน เพราะอย่างที่ทราบธุรกิจปิโตรเคมี มีโอเวอร์ซัพพลาย ทำให้มาร์จิ้นลดลง เกิดการขาดทุนจากการสต็อคน้ำมัน จากการที่ราคาน้ำมันปรับจาก 70 เหรียญสหรัฐ ลงมาเหลือ 60 เหรียญสหรัฐ หลายๆ บริษัทในโลกนี้มีการควบรวมกิจการกัน และหาพาร์ทเนอร์ เราจึงต้องปรับกลยุทธ์ ทั้งหาผู้ร่วมทุน ลดการลงทุนซ้ำซ้อน ลดสัดส่วนถือหุ้นในบางธุรกิจ มีการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ขยายธุรกิจที่เรามีความถนัด และเมคมันนี่ในตลาดต่างประเทศ” ดร.คงกระพัน กล่าว
ดร.คงกระพัน กล่าวว่า ปี 2568 ตั้งเป้าหมาย EBITDA เพิ่มขึ้น 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ โดยหลักๆ จะมาจากการลดต้นทุนด้านค่าใช้จ่าย 10,000 ล้านบาท การแปลงสินทรัพย์เป็นทุน 8,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากการจัดตั้งวอร์รูม เพื่อกำหนดแนวทางการรับมือสถานการณ์พลังงานที่มีความผันผวน และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอย จากสงครามภาษีการค้า และปริมาณการผลิตน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ได้กำหนดแผนการดำเนินงาน 5 ด้าน

ได้แก่ 1. แผน Strategy ทบทวนกลยุทธ์เดิมพร้อมพิจารณาความท้าทายใหม่ที่จะเข้ามากระทบ พบว่ากลยุทธ์กลุ่ม ปตท. มาถูกทาง เหมาะสม สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกและความท้าทายจากเรื่องสงครามการค้าได้ เพียงแต่บางเรื่องต้องเร่งให้เร็วขึ้น เช่น การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท.
“1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ ปตท. ได้ปรับกลยุทธ์ มั่นใจว่ากลยุทธ์มาถูกทาง สะท้อนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก โดยไตรมาสแรก มีกำไรสุทธิ 23,315 ล้านบาท นำส่งรายได้เข้ารัฐในรูปแบบภาษี 7,256 ล้านบาท”ดร.คงกระพัน กล่าว
2. แผน Financial Management รักษาวินัยการเงิน การบริหารต้นทุนการเงิน เสริมสภาพคล่องกระแสเงินสด รักษาระดับ Credit Rating
3. Supply Chain & Customer ดูแลคู่ค้า ลูกค้า เพื่อสร้างความต่อเนื่องตลอด Supply Chain พร้อมเร่งดำเนินโครงการสร้างมูลค่าเพิ่ม
4. Project Management ทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการและการลงทุน โดยต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ โดยปีนี้มีงบลงทุน 30,000 ล้านบาท รวมถึงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Asset Monetization) ของ flagship ซึ่งปี 2568 จะทำให้มีกำไรเข้ามา 8,000 ล้านบาท
5. Communication สื่อสารและสร้างความเชื่อมั่น ความเข้าใจการดำเนินธุรกิจแก่นักลงทุน ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง
ดร.คงกระพัน กล่าวว่า กลุ่ม ปตท. ได้เร่งสร้างความแข็งแรงภายใน สร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการสำคัญได้แก่
โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็น PTT Group Synergy บริหารงานแบบ Centralized Supply and Market Management มีเป้าหมาย 3,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2571
โครงการ MissionX ยกระดับ Operational Excellence เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าทั้งกลุ่ม ปตท. ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2570 มีแผนงานชัดเจนและเป้าหมายเป็นรูปธรรมซึ่งเริ่มดำเนินการแล้ว
โครงการ Axis นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะสร้างมูลค่าได้อีก 11,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2572 รวมถึงการทำ Asset Monetization ของกลุ่ม ปตท. ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน
รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้วยการรักษาวินัยทางการเงินและการลงทุนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนบริหารสภาพคล่องกระแสเงินสดภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน
มีการจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น นับเป็นการจ่ายเงินปันผลสูงสุดตั้งแต่ ปตท. เข้าตลาดฯ และ ปตท. ได้มีการขยายระยะเวลาเครดิตทางการค้า (ETC) เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัทในกลุ่ม โดยยังคงยึดหลักการรักษาวินัยทางการเงิน (Financial Discipline) อย่างเคร่งครัด ในปี 2568 มีการซื้อหุ้นคืนเพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่อง และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น และเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ซื้อหุ้นคืนแล้ว 177 ล้านหุ้น จากเป้าหมาย 470 ล้านหุ้น
ดร.คงกระพัน กล่าวว่า ตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่สำคัญ ประกอบด้วย การมุ่งเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) เพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งอาทิตย์ เป็น 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการสินภูฮ่อม แหล่งปิโตรเลียมบนบกที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ช่วยให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของไทยเพิ่มขึ้น

พร้อมขยายการเติบโตของธุรกิจปัจจุบันในต่างประเทศ โดยเข้าถือหุ้น 10% ใน Ghasha หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้ง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) มีการขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศอินเดียและไต้หวัน สอดรับกับความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่เติบโตพร้อมกันนี้ยังสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจ LNG ให้เกิดประโยชน์สูงสุด วิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค โดยใช้จุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน
พร้อมนำเข้า LNG รวมปริมาณ 11 ล้านตันต่อปี ครอบคลุมทั้งสัญญาระยะยาวและสัญญาซื้อขายแบบ Spot LNG Hub ของภูมิภาค ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่มีความท้าทายจาก Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป จึงต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบปิโตรเคมีในระยะยาว โดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) จะนำเข้าอีเทนจากสหรัฐอเมริกา ปริมาณ 400,000 ตันต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
การสร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ supply & market ร่วมกัน นอกจากนี้ ปตท. ยังเร่งแสวงหา Strategic Partner เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจ ซึ่งจะเป็นผลดีกับ ปตท. และ flagship โดย ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ปรับพอร์ตธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยประเมินธุรกิจใน 2 มุม คือ 1) ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractiveness) และ 2) ปตท. มี Right to Play มีความถนัดหรือมีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆ ได้ และมี Partner ที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง
ทั้งนี้ ปตท. มีแนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้ 1) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV Value Chain ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Horizon Plus และธุรกิจที่มีความเสี่ยง
2) ธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่ง ปตท. ออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของกลุ่ม ปตท. มุ่งเน้นเฉพาะที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก และสามารถสร้าง Synergy ภายในกลุ่มได้ 3) ธุรกิจ Life Science ปรับพอร์ตมุ่งเน้นเฉพาะ Pharmaceutical และ Nutrition มีแผนการเติบโตที่ชัดเจนร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ และสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน (Self-funding)
จากการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ Non-Hydrocarbon ข้างต้น ทำให้สามารถรักษาเงินลงทุน (Capital Preservation) ไว้ได้ แทนที่จะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงและไม่สร้างผลกำไร
ด้านการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยดำเนินการอย่างบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท.
ทั้งนี้ได้มีการ Reconfirm เป้าหมาย Net Zero 2593 และกำหนดแผนงานชัดเจน มีการพิจารณาปัจจัยรอบด้าน อาทิ ต้นทุนของการลดคาร์บอนด้วยวิธีต่างๆ เทียบกับค่าใช้จ่ายของการปล่อยคาร์บอน เช่น ภาษีคาร์บอนที่จะเกิดขึ้น โดยจะต้องมีความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนได้อย่างยั่งยืน
ยังมีความก้าวหน้าในการศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงพัฒนา CCS Hub Model เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลเทคโนโลยี CCS ระดับประเทศในอนาคต
สำหรับ การศึกษาด้านธุรกิจไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรทั้งในด้านการจัดหาไฮโดรเจนและแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ และการประยุกต์ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าเพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลเชิงธุรกิจ ตลอดจนสนับสนุนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ของประเทศไทยในอนาคต
บล.กรุงศรี มองประเด็นการทำ Asset monetization ของกลุ่ม PTT ที่คืบหน้ามากขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้ารับรู้กำไรพิเศษ(ก่อนภาษีฯ) ไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท ประมาณการกำไรสุทธิ 2568F ราว 99,000 ล้านบาท โดยเงินที่ได้จากการขายจะนำมาชำระคืนหนี้/ เป็นเงินทุนสำหรับการลงทุนในอนาคต
ด้านนโยบายปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯของรัฐ ยังอยู่ระหว่างการสื่อสารกับภาครัฐคาดยังต้องใช้เวลา และรายละเอียดของโครงสร้างยังไม่มีข้อสรุป
การศึกษาโครงการ Alaska LNG ยังต้องรอการ FID ของโครงการ และแผนพัฒนาที่ชัดเจนก่อนเข้าไปเจรจาเพิ่มเติม ความร่วมมือที่ทำได้ชัดเจนที่สุดคือซื้อ LNG จากโครงการดังกล่าวที่จะสอดรับกับกลยุทธ์การเพิ่มปริมาณ trading LNG ของบริษัท
คงคำแนะนำ Neutral ต่อ PTT มองกำไรพิเศษจากการขาย non-core asset บางส่วน (ยังไม่รวมกำไรที่จะหายไปจากทรัพย์ดังกล่าว) จะช่วยให้เครือบริษัทมีสภาพคล่องในการรับมือช่วง downcycle ดีขึัน คงมุมมองถือรับปันผลได้
