HoonSmart.com>>บล.คิงส์ฟอร์ด คาดแนวต้านดัชนี 1,200 จุด หากยืนบริเวณ 1,190 จุด ไม่ได้ ระวังการปรับฐานไปที่ระดับ 1,160 – 1,170 จุด ยังต้องติดตามความคืบหน้าเจรจาข้อตกลงการค้าสหรัฐ – ไทยให้เสร็จก่อน 9 ก.ค. ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ วานนี้ปิดบวก ระหว่างวันซื้อขายผันผวนหลังมูดี้ส์หั่นเครดิต บอนด์ยีลด์ขึ้นแตะ 4.45% ผลลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, สินค้าฟุ่มเฟือย หุ้นเด่นแนะนำ BAFS, ADVANC
บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด คาดทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ วางจุดสังเกตุดัชนี SET บริเวณ 1,190 จุด หากยืนไม่ได้ ยังต้องระวังการปรับฐานไปที่ระดับ 1,160 – 1,170 จุด โดยมีแนวต้านที่ 1,200 จุด ซึ่งประเด็นที่ต้องติดตาม คือ ความคืบหน้าการเจรจาข้อตกลงการค้าสหรัฐ – ไทยให้เสร็จก่อนวันที่ 9 ก.ค. แนะนำทยอยซื้อกลุ่มโรงไฟฟ้า BCPG,CKP,GPSC คาดกำไรใน Q2/68 ยังเติบโตดี/ กลุ่มอาหาร CPF,GFPT,TFG ได้ประโยชน์หลังจีน, ยุโรปแบนการสั่งซื้อไก่จากบราซิล 60 วัน จากปัญหาหวัดนก
“มุมมองทางเทคนิคดัชนี SETเสี่ยงพักตัวลงต่อ กลยุทธ์การลงทุน SET Index อ่อนตัวทดสอบระดับ EMA25 วัน ขณะที่ MACD/RSI มีอาการแผ่วต่อเนื่อง หากกลับไปยืนเหนือระดับ 1,190/1,200 ไม่ได้มีโอกาสไหลลงต่อ โดยมีแนวรับถัดไป 1,182/1,173”
วานนี้สภาพัฒน์รายงาน GDP ไทย Q1/68 ขยายตัว +3.1% ดีกว่าตลาดคาดที่ 2.9% YoY สาเหตุมาจากภาคส่งออกที่ขยายตัว +15% เป็นผลจากการเร่งสต็อคสินค้าของประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ก่อนการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ ซึ่งคาดจะเห็นผลกระทบต่อ GDP ไทยในงวด Q3 นี้ ดังนั้นสภาพัฒน์จึงได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้ลงอยู่ที่ 1.8% & เดิมคาดที่ 2.8% YoY
ส่วนการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจวานนี้ ได้ชะลอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 โดยจะใช้งบประมาณ 1.57 แสน ลบ. ในโครงการพัฒนาน้ำเพื่อการบริโภค, คมนาคม, ส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง และลดผลกระทบจาก มาตรการด้านภาษีของสหรัฐ
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ DJIA +0.32%, S&P500 +0.09%, Nasdaq +0.02% ได้แรงหนุนจากกลุ่มบริการสุขภาพ +0.96% รับข่าว United Health Group ได้แต่งตั้ง CEO คนใหม่ หลังบริษัทถูกทางการสหรัฐตรวจสอบการใช้งบ Medial Care ที่ผิดปกติ โดยดัชนีหุ้นสหรัฐผันผวน หลัง Moody’s ได้ปรับลดเครดิตเรทติ้งลงสู่ระดับ Aa1 จากปัญหาหนี้ภาครัฐที่สูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ กอปรกับร่าง กม.ปฏิรูปภาษีและงบประมาณของ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่ผ่านการพิจารณาจากสภาคองเกรส ส่งผลให้ US Bond Yield 10 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 4.45% ซึ่งเป็นผลลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, สินค้าฟุ่มเฟือย
ส่วนความเห็นของ ปธ.เฟดสาขานิวยอร์ค, แอตแลนต้า วานนี้มึมุมมองเชิง Hawkish โดยคาดเฟดอาจคงดอกเบี้ย หรือลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ซึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนของภาษีศุลกากร และนโยบายด้านการคลังที่ตึงตัว โดยค่ำวันนี้ยังติดตามความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดอีก 3 ท่าน
หุ้นเด่นแนะนำ BAFS (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 10.00 บาท) กำไรสุทธิ 1Q25 ดีขึ้นอยู่ที่ 143 ลบ. +73%YoY และพลิกจากขาดทุนใน 4Q67 ที่ -50 ลบ. (4Q67 มีบันทึก impairment loss) โดยการเติบโต YoY ได้แรงหนุนจากธุรกิจ Aviation ปริมาณการเติม Jet fuel เพิ่มขึ้น +13%YoY อยู่ที่ 1,422 ล้านลิตร ตามอุตสาหกรรมการบินที่ฟื้นตัว
ธุรกิจ utility ปริมาณขนส่งน้ำมันของโครงการระบบท่อขนส่งน้ำมันภาคเหนือ (NFPT) +24%YoY ที่ 363 ล้านลิตร ส่งผลให้รายได้รวมเติบโต +12%yoy ระยะสั้น 2Q68 คาดกำไรเติบโตได้ YoY จากตัวเลขเที่ยวบินที่ยังขยายตัวในช่วง เม.ย.-พ.ค. โดยทั้งปี 68 บริษัทวางเป้าปริมาณการเติม Jet Fuel 5,400 ล้านลิตร ปริมาณขนส่งน้ำมันทางท่อ 1,290 ล้านลิตร ส่วนปี 69 คาดกำไรมี upside จากโครงการเชื่อมต่อขยาย NFPT (อ่างทอง-สระบุรี) ที่เตรียม COD ปีหน้า ปัจจุบันมีความคืบหน้าของโครงการ 14%
หุ้น ADVANC (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 315.0 บาท) กำไรสุทธิ 1Q68 อยู่ที่ 1.06 หมื่นลบ. (+25%YoY, +14%QoQ) หนุนจากมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ส่วน 2Q68 คาดมาร์จิ้นยังดีได้ต่อจากประเด็นเดิม(การแข่งขัน / Finance Cost ลง) ทั้งนี หุ้นกลุ่มสื่อสารยังมีปัจจัยบวกจากเทรนด์ธุรกิจในอนาคต, Data Consumption ที่สูงขึ้น รวมถึงการ Migrate เทคโนโลยี เช่น Package 5G ที่จะส่งผลบวกต่อไปยัง ARPU โดย ส่วนของ ADVANC เอง ฐานผู้ใช้บริการ 5G ณ สิ้น 1Q68 คิดเป็น 28% ของฐานผู้ใช้บริการทั้งหมด ยังมีช่องในการเติบโตของรายได้
นอกจากนี้ การแข่งขันที่ลดลงของผู้ให้บริการในไทยก็จะช่วยในเรื่องของค่าใช้จ่ายการตลาด รวมถึงค่าใช้จ่ายการประมูลคลื่น
