HoonSmart.com>>ธนาคารกสิกรไทย (BANK) แจงสาเหตุที่จ่ายปันผลพิเศษครั้งแรก 2.50 บาทเป็น 10 บาทงวดนี้ โรดโชว์ต้นปี ผู้ถือหุ้น-นักลงทุนต่างชาติเห็นเงินกองทุนสูงเกินจำเป็น เทียบเศรษฐกิจไทยที่ไม่โต รอดูเกณฑ์ซื้อหุ้นคืนใหม่ เพื่อประเมินจ่ายเงินปันผลที่เหมาะสมต่อไป ดัน ROE เข้าเป้าโตสองหลัก ยอม NIM ต่ำช่วยลูกค้า หุ้นขึ้นรับข่าวดี บล.เอเซียพลัส-กรุงศรีมองบวก คาดกำไรปี 68 โตต่อ หดปันผลกลับปกติ ด้าน OECD หั่นเป้าเศรษฐกิจโลกและสหรัฐปี 68-69 เจอภาษีทรัมป์ฉุด
น.ส.ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (BANK) เปิดเผยว่า คณะกรรมการธนาคารฯมีมติจ่ายเงินปันผลพิเศษ อีกหุ้นละ 2.50 บาท รวมกับอนุมัติก่อนหน้านี้ 8 บาท งวดนี้แจกหุ้นละ 10.50 บาท ระหว่างกาล 2 บาท รวมทั้งปี 12 บาท ธนาคารพิจารณาหลังจากเดินทางไปให้ข้อมูลให้กับผู้ถือหุ้น และนักลงทุนในต่างประเทศช่วงต้นปี 2568 ส่วนใหญ่ให้ความสนใจถึงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ที่อยู่ในระดับสูงเกินไป เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจไทยที่ไม่เติบโต จึงไม่จำเป็นที่ต้องเก็บเงินกองทุนไว้ในระดับสูง
ทั้งนี้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมแก่ผู้ถือหุ้นต่อไป โดยไม่ได้ติดใจเรื่องแผนการเติบโตของสินเชื่อหรือเป้าหมายอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(ROE) โตสองหลัก ภายในปี 2569 แต่ยอมรับว่าการที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมายนั้นค่อนข้างเหนื่อยและท้าทาย มีปัจจัยท้าทายมาจากเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบโตราว 2.4% ซึ่งสินเชื่อก็ยังโตได้จำกัด โดยธนาคารยังคงเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 ไว้รองรับ ซึ่งธนาคารมีแผนในการปรับปรุงศักยภาพเครดิต พัฒนาเครดิตสกอร์ริ่ง (Credit Scoring) ใหม่ หากลูกค้าเริ่มมีอาการก็จะเข้าไปดูแลใกล้ชิด สิ่งที่จะสามารถประคองกำไรและเป้าหมายได้ คือ รายได้ค่าธรรมเนียม โดยเฉพาะ FX Rate จากนักท่องเที่ยว
น.ส.ขัตติยากล่าวว่า การจ่ายเงินปันผลพิเศษครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก และอยู่ระหว่างการกำหนด อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไร (Dividend payout Ratio) ว่าควรจะอยู่ในระดับใด จากอดีตอยู่ที่ 25% เพิ่มเป็น 37% ในปี 2567 รวมถึงควรจะจ่ายปีละ 1 ครั้งหรือ 2 ครั้ง ในต่างประเทศจ่ายปันผลทุกๆไตรมาส
“รอความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตลาดหลักทรัพย์ กระทรวงพาณิชย์ในการแก้กฎระเบียบเรื่องการซื้อหุ้นคืน เพื่อที่จะกำหนดนโยบายในการซื้อหุ้นคืนหรือการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่เหมาะสมต่อไป”น.ส.ขัตติยากล่าว
สำหรับภาพรวมสินเชื่อในไตรมาสที่ 1/2568 อาจจะทรงตัว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยและบัตรเครดิตยังคงเติบโต ส่วนสินเชื่อรายใหญ่คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาสที่ 2 หรือ 3 หลังจากชำระคืนมากในไตรมาส 4/2567 และไตรมาสแรกที่ผ่านมา ส่วนการพิจารณาผลตอบแทนไม่ควรดูเฉพาะ NIM สูงๆ ควรนำ NIM หักอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Credit Cost) เพราะ NIM เดิมสูงด้วยจุดแข็งของธนาคารที่ต้นทุนเงินฝากต่ำสุดในไทย แต่รายได้ลูกค้าก็ลำบาก ทำให้ NPL สูง ก็ต้องช่วยลูกค้าเหมือนกัน
ทางด้านบล.เอเซียพลัส มองกรณี KBANK จ่ายเงินปันผลพิเศษ จากการสอบถามไปยังธนาคาร พบว่าเป็นไปตามแนวทางการยกระดับ ROE สู่เป้าหมาย โตสองหลักในปี 2569(ปี 2567 ที่ 8.9%)เพียงแต่ความต่อเนื่องของของการจ่ายเงินปันพิเศษนี้ในปีถัดๆ ไปขึ้นอยู่ภาวะเศรษฐกิจ•
สำหรับเงินปันผลปี 2567 อยู่ที่ 12 บาทต่อหุ้น คิดเป็น DIVIDEND PAYOUT RATIO (DPR) ที่ 59% ของกําไรสุทธิปี 2567 (หากไม่รวมปันผลพิเศษ อยู่ที่ 47%) บนแนวโน้มกำไรต่อหุ้นปี 2568 –2570โตเฉลี่ย 5% ต่อปี และสมมติฐาน DPR ปี 2568 –2570 เฉลี่ย 51% จะทําให้ ROE ขยับขึ้นจากสมมติฐานเดิม 0.1% และปี 2570 จะอยู่ที่ 9.1%(VS KTB ที่ 10.4% และ SCB ที่ 10.1%)
ทั้งนี้ แม้กรณีที่กําหนด DPR ปี 2568 –70 ที่ 60% พบว่าระดับ ROE ในปี 2570 จะอยู่ที่ 9.2%ยังต่ํากว่าเป้าหมาย 10% ของ KBANK ภาพรวมมองว่าการเพิ่ม ROE สู่ 10% ยังต้องใช้เวลา ขณะที่การเพิ่มอัตราการเติบโตของกําไร ดูท้าทายยามดอกเบี้ยต่ําลงและการลดของ CREDIT COST ไม่ใช่เรื่องง่าย จากพอร์ต SME เพราะสงครามการค้า
แม้ราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงบวกระยะสั้น เพราะเงินปันผลพิเศษ แต่แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์พอร์ต SME มีปัจจัยกดดันจากภาคส่งออก คงแนะนําเท่ากับตลาด
ด้านบล.กรุงศรี มีมุมมองบวกเล็กน้อยต่อการประกาศจ่ายปันผลพิเศษของ KBANK เพราะเป็นการตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นและเป็นวิธีหนึ่งในการบริหารเงินทุน (Capital Management) เพื่อเพิ่ม ROE ให้ถึงเป้าหมายโตสองหลัก ทั้งนี้คงคำแนะนำซื้อ และคงเป้าหมายที่ 178 บาท
คงเป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ KTB (แนะนำซื้อมูลค่าเหมาะสม 27 บาท) เพราะคาดว่ามีโอกาสเห็นค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) กลับสู่ระดับปกติในปี 2568 ที่ 140-160 bps. ส่วนกำไรสุทธิคาดเติบโต +9% จากปีก่อน มากกว่ากลุ่มที่ +4% และมีโอกาสเห็นการปรับเพิ่ม dividend payout ratio และ ROE ได้ในอนาคต
ด้านตลาดหุ้นวันที่ 17 มี.ค.68 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,170.20 จุด ลดลง 3.56 จุด หรือ -0.30% มูลค่าซื้อขาย 35,904.16 ล้านบาท นำโดย KBANK ปิดที่ 152.50 บาท +3.50 บาท +2.35% โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,315 ล้านบาท และพอร์ตบล.ขาย 282 บาท ด้านนักลงทุนไทยซื้อ 1,387 ล้านบาท และสถาบันไทยซื้อ 210.63 ล้านบาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้แกว่งแคบ อ่อนแอกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากหุ้นไทยไม่มีปัจจัยกระตุ้นใหม่ และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า กำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มปรับตัวลง รวมถึงวอลุ่มเทรดค่อนข้างน้อย ตลาดอยู่ในลักษณะซึมในช่วงรอดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ และยังต้องติดตามนโยบายภาษีของ”ทรัมป์”ด้วย
นอกจากนี้ สัปดาห์นี้ยังมีการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) รวมถึงให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ทั้งยอดค้าปลีก และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ส่วนวันศุกร์นี้ (21 มี.ค.)ติดตาม FTSE Rebalance
ทางด้าน องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก เนื่องจากภาษีการค้าของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อการเติบโต คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงจาก 3.2% ในปี 2567 เป็น 3.1% ในปี 2568 และ 3.0% ในปี 2569 ก่อนหน้านี้ OECD คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3.3% ในปีนี้และปีหน้า
นอกจากนี้ คาดว่าการเติบโตของ GDP ของสหรัฐฯ จะลดลงเหลือ 2.2% ในปี 2568 และ 1.6% ในปี 2569 ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 2.4% ในปีนี้และ 2.1% ในปีหน้า