HoonSmart.com>>บล.คิงส์ฟอร์ด คาดแนวโน้มดัชนี SET ได้แรงหนุนหลังตัวเลขเฟ้อสหรัฐ ก.พ.ชะลอตัว เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้ แนวต้านดัชนี 1,170 – 1,180 จุด ส่วนแนวรับ 1,150 – 1,160 จุด แนะทยอยซื้อ SCB,KTB,PTT,ADVANC,CPALL,AOT,BDMS พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่น BTG , BCH
บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,150 – 1,160 จุด แนวต้าน 1,170 – 1,180 จุด คาดได้แรงหนุนหลังตัวเลขเฟ้อสหรัฐ ก.พ. ชะลอตัว ส่งผลให้เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้ และรอผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า แนะนำทยอยซื้อ SCB,KTB,PTT,ADVANC,CPALL,AOT,BDMS ซึ่งเป็นหุ้นที่กองทุน LTF ถืออยู่ในสัดส่วนสูง และมีอันดับ ESG Rating ระดับ A ถึง AAA
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐปิดวานนี้ DJIA -0.20%, S&P500 +0.49%, Nasdaq +1.22% ได้แรงหนุนจากกลุ่มเทคโนโลยี +1.56%, บริการสื่อสาร +1.43% หลังรายงานตัวเลข US CPI ก.พ. อยู่ที่ 2.8% และม.ค. 3.0% และน้อยกว่าคาดที่ 2.9% YoY ส่งผลให้ CME FedWatch คาดเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ในช่วง มิ.ย., ต.ค. และ ธ.ค. ครั้งละ 0.25% ปัจจัยดังกล่าวส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐ
ขณะที่แคนาดาได้ตอบโต้สหรัฐด้วยการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐมูลค่า 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังถูกสหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก , อะลูมิเนียมที่อัตรา 25% ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจค่ำวันนี้ติดตาม US PPI ก.พ. คาด 3.3% และม.ค. ที่ 3.5% YoY ก่อนการประชุมเฟดวันที่ 18 – 19 มี.ค.
หุ้นเด่นแนะนำ BTG (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 23.50 บาท) กำไร 4Q67 อยู่ที่ 983 ล้านบาท เติบโตขึ้น QoQ, YoY มีปัจจัยหนุนจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ปริมาณขายและราคาสัตว์บกปรับตัวดีขึ้น ส่วนต้นทุนอาหารสัตว์ปรับตัวลดลง รวมถึงกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นการขายในช่องทางที่มีอัตรากำไรสูง เช่น ร้านอาหาร กลุ่ม food service บริษัทตั้งเป้าปี 68 ยอดขายโต 3-7%YoY จากปริมาณขายที่เพิ่มตามการขยายกำลังการผลิต ขณะที่ GPM คาดสูงกว่าปี 67 ที่ 13.5%
แนวโน้ม 1Q68 น่าจะดีต่อเนื่องได้อานิสงส์จากราคาสุกรในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังต่ำจากราคากากถั่วเหลือง นอกจากนี้การซื้อ Eggriculture ที่เป็นธุรกิจไข่ในสิงคโปร์จะเสร็จใน 1Q68 หนุนรายได้ในระยะถัดไป ทั้งนี้อิงจาก Consensus ตลาดคาดปี 68 มีกำไรสุทธิ 2.9 พันล้านบาท +20%YoY และปี 69 ที่ 3.4 พันล้านบาท +16%YoY
หุ้น BCH (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 19.40 บาท) กำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 233 ล้านบาท(-48.59%YoY, -45.48%QoQ) มีปัจจัยกดดันกำไรจาก 1.ผู้ป่วยคูเวตยังไม่กลับ 2.รายการลบจากการปรับการรับรู้รายได้ประกันสังคมโรค Adj.RW>2 เหลือ 8,000 บาท/adj.RW (12,000 บาท/adj.RW) ราว -164 ล้านบาท และ 3.การปรับปรุงรายการ Covid-19 ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ ราว -65 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามคาดว่าการดำเนินงานผ่านจุดต่ำไปแล้ว และ 1Q68 จะเห็นการฟื้นตัวได้ ขณะที่ความเสี่ยงของการรับเงินประกันสังคมในปี 2568 ลดลงไป คาดว่า SSO จะสามารถจ่ายโรค adj.RW>2 ที่ 1.2 หมื่นบาท/adj.RW ได้