HoonSmart.com>>โกลบอลกรีนเคมิคอล ตั้งเป้า EBITDA Margin ปี’68 โตไม่ต่ำกว่า 4% รายได้ทะลุ 2 หมื่นล้านบาท EBITDA เพิ่มขึ้น 2 เท่าในปี’73 เดินหน้าเปลี่ยนโครงสร้าง 3 กลุ่มธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ให้คำมั่นแก้ Free Float ได้ตามกำหนดภายใน พ.ค.นี้
นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล หรือ GGC เปิดเผยว่าปี 2568 ตั้งเป้า EBITDA Margin โตไม่ต่ำกว่า 4% เทียบเท่ากับปีที่ผ่านมา ด้านรายได้ทะลุ 20,000 ล้านบาท จากปี 2567 มีรายได้รวม 19,114 ล้านบาท มี EBITDA 845 ล้านบาท โดยจะเพิ่มรายได้จากการส่งออกไปต่างประเทศเป็น 57% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 50% ด้วยการขยายตลาดไปยังแอฟริกา อินเดีย และจะมีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรที่จีน ส่วนรายได้ในประเทศจะอยู่ที่ 47%
ทั้งนี้ ยังทำธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ “Transformation for Future Growth”หรือปรับโครงสร้างธุรกิจสู่ความเข้มแข็งเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้โครงการ MAX ที่ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานได้ถึง 215 ล้านบาท และการควบคุมเพื่อลดการเกิดผลกระทบต่อธุรกิจช่วยประหยัดได้ถึง 272 ล้านบาท เดินหน้ารักษาสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่งโดยไม่มีหนี้สินทางการเงิน และมีความพร้อมในการจัดหาเงินทุนในรูปแบบ Sustainability Financing แ

มุ่งเน้นการขับเคลื่อน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจพลังงานสีเขียว ธุรกิจเคมีชีวภาพ และธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (HVP) และผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยตั้งเป้าสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น โดยอัตรากำไร EBITDA Margin หรือ กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ใกล้เคียงกับปัจจุบันประมาณ 4% และจะพยายามทำให้กำไรสุทธิเป็นบวก เพราะปี 2567 ที่ผ่านมาธุรกิจหลักยังมีกำไร
สำหรับแผนการดำเนินงาน 5 ปี (2568-2572) ตั้งเป้าหมายรายได้รวมมากกว่า 20,000 ล้านบาท ในปี 2573 และมี EBITDA เติบโตปีละ 2 เท่า จากปี 2567 ที่มี EBITDA 845 ล้านบาท ด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ จะมีการปรับโครงสร้าง 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย พอร์ตที่หนึ่ง ธุรกิจเคมีชีวภาพ (BioChemicals) ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลัก ที่จะมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มเคมีภัณฑ์สำหรับของใช้ในบ้านและของใช้ส่วนตัวซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตในอนาคต ที่มีความได้เปรียบจากการเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในประเทศไทย วางสัดส่วน EBITDA ปี 2573 อยู่ที่ 79% จากปัจจุบัน 92% มูลค่ารวมไม่ได้ลดลง เพียงแต่สัดส่วนลดลงจากการที่ธุรกิจอื่นมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากที่สุดจากงบลงทุนทั้งหมด 1,500 ล้านบาท
สำหรับ ราคาของเคมีชีวภาพสูงกว่าราคาปิโตเคมีอยู่แล้ว และคิดว่าปีนี้จะอยู่ในระดับที่มีความเสถียรมากขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีความผันผวนตามราคาปาล์มที่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากในปีที่ผ่านมา ส่วนราคาปาล์มในปีนี้ต้องติดตามอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกว่าจะออกมามากน้อยแค่ไหน และจากการที่ถูกขึ้นภาษีจะกระทบไทยแค่ไหน
ในส่วนของไทยที่เป็นผู้ส่งออกอันดับ 3 ราคาปาล์มในปัจจุบันถือว่าแฮปปี้ และผู้ประกอบการที่ใช้ปาล์มเป็นวัตถุดิบอย่าง GGC ก็แฮปปี้ และในมุมของผู้บริโภคราคาเคมีชีวภาพ ยังเป็นราคาที่สมเหตุสมผล ผู้บริโภคจับต้องได้ และยินดีที่จะจ่ายเพื่อให้โลกน่าอยู่ขึ้น โดยธุรกิจนี้ในปีที่ผ่านมายังมีกำไร และคาดว่าปีนี้ก็จะยังเป็นบวกอยู่

“ขณะที่เวที BioChemicals ระดับโลก เรื่องของปาล์ม จะมีความกังวลด้านความไม่แน่นอนจากนโยบายความยั่งยืนของสหรัฐอเมริกา และยุโรป เช่น EUDR ผนวกกับทั่วโลกตระหนักถืงผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ ว่าจะหันหลังกลับไปใช้พลังงานแบบเดิมไหม แต่เรายังเชื่อว่าเมกะเทรนด์ยังมุ่งสู่กรีนอยู่ เพราะทุกคนต้องการสร้างอนาคตให้ลูกหลานในวันข้างหน้า”นายนายกฤษฎา กล่าว
สอง พอร์ตรายได้จากธุรกิจพลังงานสีเขียวจะลดลงเหลือ 6% จากปัจจุบัน 7% ด้วยการเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจเคมีชีวภาพมากขึ้น โดยร่วมมือกับบริษัทแม่ คือ PTTGC ในการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel:SAF) ที่บริษัทฯเป็นผู้จัดหาน้ำมันใช้แล้วส่งให้บริษัทแม่ และการพัฒนาน้ำมันสะอาดเพื่อการเดินเรือ และร่วมมือกับบริษัทลูกเพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและเพิ่มขีดความสามารถ เช่น การร่วมกับบริษัท TEX พัฒนาการผลิตแฟตตี้แอลกอฮอล์ ไปเป็นสาร FAEO ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผิว
พอร์ตที่สาม จะเพิ่มพรายได้จากผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (HVP) และผลิตภัณฑ์ใหม่ จาก 1% ในปัจจุบัน หรือราว 100 ล้านบาท เป็น 15% ผ่านกลยุทธ์การลดการถือครองทรัพย์สิน (Asset Light Strategy) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและเพิ่มความยั่งยืนทางธุรกิจ จะใช้เงินลงทุนไม่มากคาดว่าจะอยู่ราวๆ 100-200 ล้านบาท โดยจะขยายในส่วนที่เป็นธุรกิจอาหารและส่วนประกอบอาหาร (Food & Feed) เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Cosmetics & Personal Care) ที่ปีนี้จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ Alkyl Benzoate ผลิตภัณฑ์สารเพิ่มความชุ่มชื้นกลุ่มเคมีชีวภาพ ที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง เวชภัณฑ์และยา (Pharmaceuticals) เพื่อรองรับแนวโน้มพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษใช้ในวงการอุตสาหกรรม Industrial Applications ที่ในปี 2568 จะมีการออก ผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ตัวทำละลายชีวภาพ ใช้ในวงการเกษตร และ สี ที่เป็นสาร BioSovel ใช้ในการผสมเพื่อเพิ่มความเป็นกรีนมากขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “Probio Pro Plus+” ในกลุ่มอาหารเสริม ภายใต้แบรนด์ Nutralist
“บริษัทฯ เร่งดำเนินการปรับปรุงกระบวนการผลิตและดำเนินโครงการลงทุน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2568 จะใช้เวลาในการศึกษาและก่อสร้างประมาณ 4 ปี ซึ่ง ในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ใช้ระยะเวลาในการทดลองตลาดและสร้างฐานลูกค้า ประมาณ 3-5 ปี ซึ่งจากแผนกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ จะเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมได้ในปี 2572 เป็นต้นไป”นายกฤษฎา กล่าว
นายกฤษฎา กล่าวว่า ในส่วนของสภาพคล่องของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น จะมีการปรับ Free Float หรือ ปริมาณการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย ให้เป็นไปตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนพ.ค.2568 ผ่านสัดส่วนการถือหุ้น ส่วนจะเป็นวิธีการใดจะมีการแจ้งอีกครั้ง
