SCGP ลั่นอีบิทดา 1.8 หมื่นลบ.โต12% ปีนี้ทุ่มลงทุน 1.3 หมื่นลบ.มุ่ง M&P

HoonSmart.com>>”เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” (SCGP) ยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน มั่นใจปี 68 ธุรกิจโต ทุ่มเงินลงทุน 1.3 หมื่นล้านบาท เดินหน้า 4 กลยุทธ์ ตั้งเป้า EBITDA  18,000 ล้านบาท โต 12% ส่วนปี 67 ลดลง 9% เหลือ 16,127 ล้านบาท รายได้โต 3% เป็น 132,784 ล้านบาท  กำไรร่วง 30% เหลือ 3,699 ล้านบาท เจอไตรมาส 4 ขาดทุน 57 ล้านบาทตามคาด บอร์ดใจดีจ่ายปันผลอีก 0.30 บาท/หุ้น ขึ้น XD 1 เม.ย. รวมทั้งปีแจก 0.55 บาท คิดเป็น 63.8% ของกำไร 

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) แถลงแผนการดำเนินงานปี 2568  บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนประมาณ  13,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่หรือประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท ใช้รองรับ Mergers & Partnerships (M&P) ในธุรกิจกล่องกระดาษ, Health care และ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ซึ่งยังมีการเติบโตสูง ส่วนที่เหลือราว 3,000-5,000 ล้านบาท จะใช้รองรับการ Maintenance & efficiency

SCGP ตั้งเป้าเพิ่มกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จำนวน  18,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  1,873 ล้านบาท หรือเติบโต 11.61% จากปีก่อนอยู่ที่ 16,127 ล้านบาท ลดลงประมาณ 9%

บริษัทตั้งเป้า EBITDA เพิ่มขึ้นมาจากการดำเนินงานผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่

1. เพิ่มความสามารถในการทำกำไรในกลุ่มประเทศอาเซียน โฟกัสการขายที่ตลาด ภายในประเทศไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสร้างการเติบโตในสินค้าเชื่อมโยงกับผู้บริโภค รวมถึงการเพิ่มโอกาสเข้าตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูงอย่าง Healthcare Supplies

2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การปรับปรุงต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านเทคโนโลยี Data Analytic และ Artificial Intelligence (AI) คาดว่าจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและลดต้นทุนในปีนี้ได้ประมาณ 600 ล้านบาท

3. พัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงการพัฒนากระบวนการ และบริการ ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างความแตกต่าง เพื่อเพิ่มมูลค่าและความสามารถทำกำไร โดยตั้งงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ คิดเป็น  1% โดยประมาณของรายได้ในแต่ละปี ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็นสัดส่วน 37% ของรายได้รวม

4. มุ่งดำเนินงานตามกรอบ ESG และหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเป็น 39% ในปี 2568

ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาส 1/2568 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น การบริโภคภายในประเทศกลุ่มอาเซียนเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ของจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์ด้านมาตรการภาษีการค้าสำหรับสินค้านำเข้า (Tax Tariff) ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยราคาพลังงานและต้นทุนโลจิสติกส์คาดการณ์ว่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2  บริษัทคาดว่าจะได้รับประโยชน์ จากประชาชนนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้ออาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567  บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 3,699 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 0.86 บาท ลดลงจำนวน 1,549 ล้านบาทคิดเป็น 29.52% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,248 ล้านบาทหรือ  1.22 บาทต่อหุ้น  โดยเฉพาะไตรมาสที่ 4/2567 ขาดทุนสุทธิ 57 ล้านบาทพลิกจากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไร 1,218 ล้านบาท เพราะอัตรากำไรสุทธิติดลบ 0.2% เทียบกับบวก 4% เนื่องจากราคาของวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่สูงขึ้นและราคาขายของสินค้าที่อ่อนตัวลง รวมถึงรวมผลการดำเนินงานจากอินโดนีเซียและผลประกอบการของธุรกิจรีไซเคิลที่ลดลง ขณะที่

ในปี 2567 บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 132,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ความต้องการของตลาดในอาเซียนดีขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง มีปัจจัยค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ในอาเซียน และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและราคาของกระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง

นายวิชาญกล่าวว่า  SCGP รับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ โดยปรับกลยุทธ์การตลาดมุ่งเน้นการขายภายในประเทศในอาเซียนรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มปริมาณการขาย ทั้งกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ส่งผลให้ยังรักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน อีกทั้งได้มีการปรับพอร์ตเพิ่มการลงทุนในกลุ่มสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค เช่น อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพเติบโต อย่าง Healthcare Supplies

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังกลาเทศ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ส่วนการบริหารวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรภายในประเทศ เพื่อจัดหาและใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลเพิ่มขึ้น อีกทั้งกำลังดำเนินการปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อลดต้นทุนทางการเงินในอินโดนีเซียด้วย

ทางด้านคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 อัตราหุ้นละ  0.55 บาท  คิดเป็น 63.8% ของกำไร   โดยจ่ายระหว่างกาลแล้วหุ้นละ 0.25 บาท จะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ในวันที่ 21 เม.ย.2568 จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 เม.ย. 2568

ส่วนการซื้อขายหุ้น SCGP ผันผวน เช้าขึ้นไปสูงสุดแตะ 17.10 บาท เปิดตลาดบ่าย นักลงทุนตกใจ กำไรออกมาร่วงลง  ทิ้งหุ้นทรุดลงไปต่ำสุดที่ 15.30 บาท แม้ไตรมาส 4 ขาดทุนตามคาด สุดท้ายราคาดีดขึ้นมาปิดที่ 16.30 บาท ลดลงเพียง 0.40 บาทหรือ-2.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 645.94 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2568