มองข้ามช็อต SCC ปี’68 โตกำไร 1 หมื่นลบ. นักวิเคราะห์ชี้เป้า 160-230 บาท

HoonSmart.com>> หุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ทำนิวโลว์ ล่าสุดอยู่ที่ 154 บาท นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำ “ถือ”คาดไตรมาส 4/67 ขาดทุน หรือกำไรเล็กน้อย ไม่มีปัจจัยบวก ให้ราคาเหมาะสมต่ำสุด 160 บาท สูงสุด 230 บาท บล.หยวนต้าแนะ เทรดดิ้ง มูลค่า 210 บาท ปรับลดประมาณการกำไรปี 67-68 ลง 28-39% เป็น 7,100 ล้านบาทและ 1.1 หมื่นล้านบาท บล.ทิสโก้ มองปี 67 กำไร 8,358 ล้านบาท ปีนี้พุ่งเท่าตัว 17,307  ล้านบาท ปี 69 เท่ากับ 18,228  ล้านบาท 

เมื่อวันที่ 10  ม.ค.2568  นักวิเคราะห์ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หลังจากราคาหุ้นไหลลงทำจุดต่ำสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง จนมาปิดที่ 154 บาท โดยบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดไตรมาส 4/2567 จะมีกำไรเล็กน้อย 91 ล้านบาท ทรุดลง 87% QoQ แต่พลิกขาดทุนจาก YoY เทียบกับไตรมาส 3 กำไรลดลง เพราะไม่มีกำไรพิเศษจาก IRS แต่หากนับเฉพาะกำไรปกติ จะดีขึ้น QoQ เล็กน้อย

สาเหตุหลักมาจากรายได้เงินปันผลรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ขณะที่ธุรกิจหลัก (วัสดุก่อสร้าง,ปิโตรเคมี,บรรจุภัณฑ์ ) คาดทำกำไรใกล้เคียงกับไตรมาที่ 3 ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567-2568 ลง 28-39% เป็น 7,100 ล้านบาทและ 1.1 หมื่นล้านบาท

แนวโน้มในปี 2568 มีสัญญาฟื้นตัวจากผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ ต้นทุนน้ำมันลดลง ประสิทธิภาพของ Fajar และมาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย

SCC มีแผนกลับไปผลิตในโครงการคอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีลองเซิน (LSP) ช่วงกลางปี 2568 จากต้นทุนวัตถุดิบ Propane ต่ำลง และอยู่ระหว่างการนำเข้า Ethane สร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนจะเริ่มฝช้งานปลายปี 2570  ให้ราคาเหมาะสมใหม่ 210 บาท หุ้นมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ และ Downside จำกัด ทั้งนี้คงคำแนะนำ trading เพราะระยะสั้นยังไม่มี Catalyst

ทางด้านบล.ทิสโก้ คาดว่า SCC จะรายงานผลขาดทุน 1,100 ล้านบาท สำหรับไตรมาสที่ 4/2567 ได้รับผลกระทบจากการรับรู้ผลขาดทุนเต็มไตรมาส จาก LSP ประมาณการส่วนต่างราคเคมีภัณฑ์ถ่วงน้ำหนักของ SCC จะยังคงทรงตัวเทียบกับไตรมาสก่อน มีโอกาสเพิ่มปริมาณจากการได้ลูกค้าใหม่ในเวียดนาม และได้จัดสรรปรืมาณจาก LSP ในเวียดนามไปยังแคร็กเกอร์เดิมในไทย เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพ สำหรับ GRM อุปสงค์ซีเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น 10% YoY ในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย. 2567 ขับเคลื่อนโดยการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐ แต่โมเมนตัมน่าจะชะลอตัวลงในช่วงปลายปีเนื่องจากวันหยุดยาว ขณะที่การดำเนินงานในภูมิภาคควรเห็นการฟื้นตัวบางส่วนโดยเฉพาะในเวียดนาม

” เราไม่คาดหวังสัญญาณการฟื้นตัวใดๆ คาดไตรมาส 4 ขาดทุน แนวโน้มระยะยาวสำหรับกลุ่มเคมีภัณฑ์ยังเปราะบาง และการฟื้นตัวใดๆในกลุ่มปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง มีแนวโน้มที่จะเป็นไปอย่างระมัดระวังและไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นผลการดำเนินงานโดยรวม การฟื้นตัวจากปลายน้ำอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่แหล่งที่มาของกำไรที่ฟื้นตัวในปี 2568 คาดทำได้ 17,307 ล้านบาท เติบโต 107% จากปี 2567 คาดไว้ที่ 8,358 ล้านบาท  ส่วนปีหน้าคาดจะมีกำไรสุทธิ 18,228 ล้านบาท เติบโต 15%” บล.ทิสโก้ระบุ

ทั้งนี้ คงคำแนะนำ “ถือ” โดยมูลค่าที่เหมาะสม 178 บาทตามวิธี SOTP ซึ่งมีความเสี่ยงด้านลงที่สำคัญส่วนราคาผลิตภัณฑ์ที่แคบลงและการหยุดดำเนินการที่ไม่ได้วางแผน ปัจจัยบวกที่สำคัญ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่กว้างขึ้น

บล.กรุงศรี มอง “ลบ”ต่อแนวโน้มขาดทุนสุทธิไตรมาสที่ 4/2567 ราว -926 ล้านบาท  แย่ลง  QoQ และต่ำกว่าที่เคยประเมินว่าจะมีกำไร เพราะธุรกิจซีเมนต์รายได้ชะลอลง ธุรกิจปิโตรเคมีมีค่าใช้จ่ายคงที่โรง LSP สูงกว่าคาด จึงปรับลดกำไร ปี 2567-2569 ประมาณ -15-23% และลดราคาเป้าหมายลงเป็น  175 บาท/หุ้น จากเดิม 220 ล้านบาท คงคำแนะนำ Neutral

“มองระยะสั้นยังมีแรงกดดันของกำไรปี 2567 และไตรมาสแรกปี 2568 รวมถึงการปรับประมาณการกำไรของตลาด มองจุดกลับมาน่าสนใจคือ ระดับ HDPE spread เหนือ 400 ดอลลาร์/ตัน  (ครึ่งหลังปี 2568) และ LSP กลับมาผลิต”บล.กรุงศรีระบุ

คาดไตรมาสแรกปี 2568 พลิกมีกำไรดีขึ้น QoQ  แต่ยังลดลง YoY โดยการฟื้นตัวมาจากธุรกิจซีเมนต์ปริมาณขายฟื้นตามโครงการรัฐ และปิโตรเคมี อัตรากำไรฟื้นจาก demand re-stock ของจีน คาดกำไรสุทธิปี 2568 ฟื้นจากฐานต่ำ ตามการฟื้นของธุรกิจปิโตรเคมี หลังโรง LSP กลับมาผลิตในครึ่งปีหลังและ product spread ฟื้นจากการปิดโรงผลิต และเลื่อนการ COD ของโรงใหม่ ส่งให้ supply ตึงตัวขึ้น จึงปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2567-2569 ไป -23%, -22% และ -15% เป็น 5,133 ล้านบาท , 13,574 ล้านบาท และ 22,364 ล้านบาท ตามลำดับ สะท้อนการฟื้นตัวของธุรกิจซีเมนต์ที่ต่ำคาด และค่าใช้จ่ายคงที่ โรง LSP ที่สูงกว่าคาด