TPLAS ปรับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ เร่งขยายตลาดไปยัง กลุ่มประเทศ AEC เล็งสร้างฐานรายได้ต่อยอดทางธุรกิจ พร้อมเร่งสร้างแบรนด์ และพัฒนาสินค้าให้ติดตลาดมากขึ้น เตรียมเจาะตลาดตามห้างสรรพสินค้า – โรงแรม และกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร มากขึ้น
นายธีระชัย ธีระรุจินนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) จำกัด (มหาชน) หรือ TPLAS เปิดเผยว่า บริษัทปรับแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อขยายช่องทางธุรกิจ และกระจายความเสี่ยงของรายได้ ให้สอดรับกับนโยบายของบริษัทฯ โดยบริษัทฯมีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างแบรนด์สินค้า ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น พร้อมทั้งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าทั่วไป และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ที่ต้องการเก็บรักษาสินค้าและวัตถุดิบ ให้อยู่ได้นาน รวมถึงเจาะตลาดตามห้างสรรพสินค้า และโรงแรม มากขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทยังเร่ง เพิ่มช่องทางการตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้สอดรับกับนโยบายเปิดการค้าเสรี (AEC) เนื่องจากการกลุ่มดังกล่าว มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติกต่อเนื่อง ดังนั้นหาก TPLAS สามารถเข้าไปเจาะตลาดในกลุ่ม AEC ได้ ก็จะส่งผลให้บริษัทฯสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มของรายได้รวมได้ครบคลุมมากยิ่งขึ้น
บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถุงบรรจุอาหารประเภท Polypropylene (PP), ถุงบรรจุอาหารและถุงหูหิ้วประเภท High Density Polyethylene (HDPE) ภายใต้ตราสัญญาลักษณ์ “หมากรุก” และฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร Polyvinyl Chloride (PVC) ภายใต้ตราสัญญาลักษณ์ “Vow Wrap”
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 409.8 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 17.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.25% เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2560 ที่มีรายได้รวม 390.56 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 16.0 ล้านบาท สาเหตุที่บริษัทฯมีอัตราผลการเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงบรรจุอาหารและถุงหูหิ้ว พร้อมทั้งฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร มีความต้องการใช้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯมีการวางกลยุทธ์ในการเจาะตลาดในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มซาปั๊ว รวมถึงกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
ส่วนไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม139.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5.27 ล้านบาท ลดลง 3.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40.45 % เมื่อเทียบกับผลดำเนินงานงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไร 8.9 ล้านบาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบหลักปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น เม็ดพลาสติกชนิด PP HDPE และ PVC
“สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมาอาจจะซบเซา แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ โดยจะพิจารณาจากยอดขายในงวด 9 เดือนแรก ที่มีอัตราการเติบได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะ บริษัทฯ มีการบริหารจัดการที่ดี และมีการวางแผนและปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะการเจาะไปยังกลุ่มลูกค้ารายย่อยโดยตรง รวมถึงกลุ่มซาปั๊ว ทำให้บริษัทฯมีมาร์จิ้นที่ดี และสามารถลดความความเสี่ยงได้ ซึ่ง บริษัทฯอัตราการเติบโตที่สวนทิศทางตลาดของอุตสาหกรรมพลาสติกด้านบรรจุภัณฑ์” นายธีระชัย กล่าว