‘ไทยพาณิชย์’ งัดกลยุทธ์สู้ดบ.ลง คาดกระทบ 5,000-1 หมื่นลบ.ยัน ROE โตสองหลัก

HoonSmart.om>> ‘กฤษณ์ จันทโนทก’ ซีอีโอแบงก์ไทยพาณิชย์มองธุรกิจธนาคารปี’68 เหนื่อย!! ดอกเบี้ยขาลง ทุกๆ 0.25% กระทบรายได้ 5,000-10,000 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร เดินหน้าเร่งลดต้นทุน เพิ่มรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย จาก 27% เป็น 30% สู้ Virtual Bank ยันรักษา ROE โตสองหลัก ท่ามกลางสินเชื่อโตต่ำ คาด GDP โตเพียง 2.4%  ส่วน 9 เดือนปีนี้ โตแกร่งทุกเป้าหมาย ปรับโครงสร้างดูแลลูกค้า เดินหน้า AI-First Bank  สู่บริการแห่งอนาคต

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในปี 2568 เหนื่อยกว่าปีนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลง หากปรับลด 0.25% จะกระทบรายได้ดอกเบี้ยประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาท จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับธนาคารแต่ละแห่ง ขณะที่ยังคงพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง ไทยพาณิชย์เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีคุณภาพ  เช่นอิเล็กทรอนิกส์ คลังสินค้า นิคมอุตสาหกรรม อาหาร การแพทย์  และดูแลลูกค้าที่มีความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด  เพื่อป้องกันผลกระทบต่อภาระการตั้งสำรองหนี้

ขณะเดียวกันจะเพิ่มรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โดยเฉพาะรายได้ทางดิจิทัล จากปัจจุบันมีสัดส่วน 27% ของรายได้ทั้งหมด คาดว่าปี 2569 จะเพิ่มเป็น 30% และมีเป้าหมายถึง 35% ในอนาคต

 

“ธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงรักษาการเติบโตของอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สองหลักให้ได้ เหมือนในปีนี้ โดยใช้กลยุทธ์การลดต้นทุน และหารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทั้งทางดิจิทัลที่มีการเติบโตเป็น 15% ในปีนี้ และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจที่มีโอกาส เช่น การบริหารความมั่งคั่ง ที่มีการเติบโตดีมากในปีนี้ “นายกฤษณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568  ธนาคารไทยพาณิชย์วางแผนที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นกว่าปีนี้  เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและขยายโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า อุตสาหกรรมธนาคารยังพบกับความท้าทาย 3 ด้านใหญ่ๆ กล่าวคือ 1. ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง โดยคาดการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 2.4%  น้อยกว่าปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.7% 2. ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ซึ่งเพิ่มความท้าทายในธุรกิจสินเชื่อมากขึ้น และ 3. เทรนด์ AI และกฎกติกาด้าน ESG ยังคงมีผลต่อการดำเนินธุรกิจ และโดยเฉพาะการเกิดขึ้นของธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) คาดว่าจะมีการประกาศผู้ที่ได้ใบอนุญาตอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 2/2568 จะเป็นอีกจุดเปลี่ยนที่สำคัญในระบบการเงินของไทย

ส่วนการดำเนินงานตามกลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch สร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง และสามารถพิชิตทุกเป้าหมายที่วางได้ โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 ธนาคารไทยพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 3.85 หมื่นล้านบาท เติบโต 5%จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (yoy) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโต 3.1% yoy รายได้จากธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งเติบโต 19% ROE ที่ระดับ 12.1% ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ (Domestic Systemically Important bank: D-SIBs) มีต้นทุนต่อรายได้ที่ 36.7% ต่ำที่สุดในระบบ D-SIBs

 

สำหรับการปล่อยสินเชื่อสีเขียว เพื่อความยั่งยืนนั้น ธนาคารไทยพาณิชย์ตอกย้ำบทบาทพันธมิตรในการพาลูกค้าทุกกลุ่มเร่งปรับตัวสู่สังคมคาร์บอนต่ำมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนกว่า 1.34 แสนล้านบาท (ณ พ.ย. 2567) จากเป้าหมาย 1.5 แสนล้านบาทในปี 2568

นายกฤษณ์กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 แสดงให้เห็นพัฒนาการทางด้านดิจิทัลแบงก์ ด้วย 5 ผลงานสำคัญ ได้แก่ 1. รายได้จากช่องทางดิจิทัลต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นสู่ 15% จาก 7% ณ ปลายปี 2566 2. นำการใช้ AI ครอบคลุมมิติสำคัญของธนาคาร อาทิ การใช้ AI อนุมัติสินเชื่อ 100% และเพิ่มขีดความสามารถด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการแบบเฉพาะบุคคล (Hyper-personalization) รวมถึงการใช้ AI เสริมประสิทธิภาพให้กับพนักงานดูแลลูกค้าและบริการสาขา เป็นต้น 3. การเปลี่ยนกระบวนการจากระบบมือสู่อัตโนมัติได้มากกว่า 1,000 กระบวนการ 4. การเพิ่มเสถียรภาพให้แก่ SCB EASY ซึ่งสามารถลด Downtime จาก 4 ช.ม. ในปี 2566 เป็น 1 ช.ม. ในปีนี้ และ 5.การวางรากฐานการเป็นธนาคารแห่งอนาคต ด้วยการลงทุนระบบหลักของธนาคาร (Core Bank) บนระบบคลาวด์

ขณะที่ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ได้สร้างผลงานโดดเด่นเชิงประจักษ์อย่างมาก โดยรายได้การบริหารความมั่งคั่งเติบโต 19% yoy ขณะที่มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการในส่วนของการลงทุน (Asset Under Advisory) เติบโต 11% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่เติบโต 1.5% นอกจากนี้ ธนาคารยังครองอันดับหนึ่งสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการประเภทอนุพันธ์แฝง (Structured Product) ครองอันดับหนึ่ง Wealth Lending และรักษาอันดับหนึ่งยอดประกันผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านธนาคารด้วยส่วนแบ่งการตลาด 23%

นายกฤษณ์ กล่าวว่า สำหรับในปี 2568 อุตสาหกรรมธนาคารยังพบกับความท้าทาย 3 ด้านใหญ่ๆ กล่าวคือ 1. ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง โดยคาดการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 2.4% 2. ระดับหนี้ครัวเรือนไทยที่ยังสูงซึ่งเพิ่มความท้าทายในธุรกิจสินเชื่อมากขึ้น และ 3. เทรนด์ AI และกฎกติกาด้าน ESG ยังคงมีผลต่อการดำเนินธุรกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเกิดขึ้นของธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศผู้ที่ได้ใบอนุญาต Virtual Bank อย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 2 ของปี 2568 จะเป็นอีกจุดเปลี่ยนที่สำคัญในระบบการเงินของไทย

ในปี 2568 ธนาคารจึงได้วางแผนปรับทิศทางธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch โดยมุ่งสร้างการเติบโตธุรกิจและพัฒนากระบวนการภายใน (Scale & Operate) ให้เป็นธนาคารดิจิทัลที่เหนือกว่าทั้งเทคโนโลยีและบริการ เพื่อเป็นรากฐานไปสู่องค์กรยั่งยืนจึงเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกับความท้าทายใหม่ที่จะเกิดขึ้น โดยจะให้ความสำคัญกับการสร้างคุณภาพใน 3 ส่วน ได้แก่ การมอบคุณภาพให้ลูกค้าด้วยบริการที่ตรงใจ การยกระดับคุณภาพขององค์กร และการสร้างพนักงานที่มีคุณภาพ ผ่านการปรับโครงสร้างและวิถีการทำงาน สร้างความสามารถในการแข่งขัน พร้อมพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป โดยจะดำเนินการบน 3 แนวทาง ดังนี้

1.ปรับโครงสร้างการดูแลลูกค้าโดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง โดยควบรวมช่องทางให้บริการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ และช่องทางดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกันเพื่อมอบประสบการณ์ไร้รอยต่อให้เกิดขึ้นจริง ทั้งยังสร้างความคล่องตัวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

2.วางรากฐานดิจิทัลให้แข็งแกร่ง เร่งเสริมความสามารถทางด้าน Digital และ AI ให้ครอบคลุมทั้งองค์กร และแบ่งทีมดิจิทัลเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน AI & DATA Intelligence (Center of Excellence: COE) เป็นศูนย์กลางสนับสนุนการพัฒนาทางด้านดิจิทัลโดยเฉพาะ และอีกส่วนหนึ่งจะถูกจัดลงสู่ทีมธุรกิจเพื่อส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินของแต่ละกลุ่มธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มอย่างแท้จริง

3.เสริมศักยภาพในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการ ภายใต้โจทย์ เร็ว ดี มีนวัตกรรม เพื่อให้รูปแบบการทำงานแบบใหม่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริง และไม่หยุดที่จะพัฒนาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบเฉพาะบุคคล (Hyper-personalization)

“ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจและธุรกิจที่มีความท้าทาย ธนาคารต้องเร่งเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันเพื่อสร้างกำไรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ความสำเร็จที่เราเป็นในวันนี้อาจไม่เพียงพอต่อการเป็นผู้นำในวันข้างหน้า ดังนั้น เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันในอนาคต ธนาคารไทยพาณิชย์จึงต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้เรายังคงวิ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและเป็นผู้นำต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายในการนำยุทธวิธี AI-First Bank มาเป็นเครื่องยนต์หลักในการยกระดับธนาคารสู่ “ธนาคารแห่งอนาคต” ด้วยการนำ AI เข้ามาขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างสมบูรณ์ และมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงสร้างความพึงพอใจ แต่ต้องสามารถคาดการณ์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของลูกค้าได้แบบรายบุคคล รวมถึงการนำ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและเตรียมความพร้อมของบุคลากร และสร้างไทยพาณิชย์ให้เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมที่สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น” นายกฤษณ์ กล่าว

 

 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–