สมาคมบลจ.ตั้งเป้าดึงเม็ดเงินเข้ากอง ThaiESG โค้งสุดท้ายปลายปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นลบ.

HoonSmart.com>> “อุตสาหกรรมจัดการลงทุน” รวมพลังนำเสนอ “42 กองทุน ThaiESG” หนุนกิจการมุ่งสร้างความยั่งยืน รับเทศกาลส่งท้ายปีภาษี อัดสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์เข้าถึงนักลงทุน ชี้ระยะเวลาลงทุนสั้นลงเหลือ 5 ปี วงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มเป็น 3 แสนบาท ตั้งเป้าดึงเม็ดเงินใหม่เข้าลงทุนปลายปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท หนุน AUM ทะลุ 3.7 หมื่นล้านบาท พร้อมประเมินหุ้นไทยฟื้นตัวต่อเนื่องปี ุ68 ทะลุ 1,600 จุด สร้างผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 10%

 


นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย เปิดเผยว่า สมาคมบริษัทจัดการลงทุนและสมาชิกบริษัทจัดการลงทุน 16 แห่ง โชว์ความพร้อมในช่วงเทศกาลภาษีส่งท้ายปีเพื่อสนับสนุนกิจการที่มุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ พร้อมนำเสนอ 42 กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ทำงานประจำ ประกอบธุรกิจส่วนตัวหรือผู้มีอาชีพอิสระ (Freelance) ที่ต้องการการลงทุนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในวงเงินที่เพิ่มขึ้น (สูงสุดสามแสนบาท) พร้อมร่วมกันสื่อสารประชาสัมพันธ์โดยตั้งเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนผู้ซื้อหน่วยลงทุน ThaiESG ให้ได้รวมกันกว่า 200,000 คน ยอดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท

ปัจจุบันมีกองทุน ThaiESG ในอุตสาหกรรมที่นำเสนอรวม 42 จาก 16 บลจ. เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในช่วงโค้งสุดท้ายของการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ณ ปัจจุบัน (31 ต.ค.67) มีมูลค่า AUM รวม 11,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากสิ้นปี 2566 มี AUM อยู่ที่ 6,400 ล้านบาท จำนวน 22 กองทุน และคาดว่าสิ้นปี 2567 นี้ จะมีกองทุน ThaiESG เพิ่มขึ้นเป็น 46-47 กอง จากบลจ.ที่เตรียมนำเสนอกองทุนใหม่ ส่งผลให้ AUM รวมสิ้นปีมีโอกาสมากกว่า 37,000 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ หลังจากภาครัฐโดยกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ได้เริ่มจัดตั้งขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา พร้อมปรับเงื่อนไขละระยะเวลาการถือครองลดลงเหลือเพียง 5 ปี และวงเงินลดหย่อนที่เพิ่มเป็น 300,000 บาท ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุนจึงตั้งใจและพร้อมใจกันที่จะแสดงถึง commitment ของเราเพื่อให้ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาวและมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทย และบริษัทผู้ออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนให้มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality, Net Zero การใส่ใจสังคมและการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

นางชวินดา กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมจัดการลงทุนของเรายังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อเนื่องสามปีตามระยะเวลาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ภาครัฐให้มา จากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งได้ร่วมกันสนับสนุนการจัด BIG Campaign “โครงการส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยผ่านทางกองทุน ThaiESG – ลงทุนยั่งยืน พร้อมคืนภาษี”

วัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวคิดของ ESG และการลงทุนยั่งยืนให้แก่ประชาชนไทย สร้างการรับรู้และความตระหนักถึงความสำคัญของการออมและการลงทุนระยะยาว รวมถึงการกระตุ้นให้มีการลงทุนผู้ลงทุนผ่าน Thailand ESG Fund ให้ได้ตามเป้าหมายที่คาดหวัง โดยทีมงานที่ได้จัดตั้งได้จัดทำกลยุทธ์ เร่งการประชาสัมพันธ์ สื่อสารการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ให้ถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเร็วและให้เกิดการลงทุนที่ต่อเนื่องภายในระยะเวลาที่จำกัดก่อนสินปีภาษีนี้เพื่อให้โครงการประสบผลสำเร็จตั้งแต่ปีแรก

นอกจากนั้นยังมีความจำเป็นที่เราต้องช่วยกันปรับพฤติกรรมการลงทุนโดยทั่วไปของผู้ลงทุนไทยในกองทุนรวมเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีซึ่งเกือบทั้งหมดจะลงทุนเฉพาะตอนปลายปี จึงมีแผนการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาโครงการ เพื่อให้เกิดการลงทุนอย่างสมำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อผลตอบแทนที่ดีตามหลักการ DCA

“การรุกตลาดของกองทุน Thai ESG ครั้งนี้หนุนตลาดหุ้นไทยคึกคักแน่นอน จากปัจจุบันตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดแม้จะไม่เท่ากับเป้าหมายที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่ยังคาดว่าการฟื้นตัวจะต่อเนื่องในปีนี้ถึงปีหน้า จากเศรษฐกิจค่อยๆฟื้นตัวและปีนี้เห็นดไชัดว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มคอมซูเมอร์ มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญและคาดว่าจะเติบโตได้ต่อในปี 2568 ซึ่งการที่ตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขับเคลื่อน”นายกสมาคม บลจ.กล่าว

นอกจากนี้หากพิจารณาจากมูลค่าหุ้นทางบัญชี (B/V) ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำมาก 1 เท่า เมื่อเทียบกับประเทศอื่น จึงเชื่อว่าการเติบโตของเศรษฐกิจก็จะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ บลจ.จึงมองเป็นจังหวะในการลงทุน ซึ่งตั้งแต่เรามีเงินใหม่เข้าลงทุนก็หนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้น และก็พักตัวลงบ้าง โดยคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2568 อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10%

 

“ผู้จัดการกองทุน” ประสานเสียงหุ้นไทยไปต่อปีหน้า 1,650 จุด

ด้านนายวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย จำกัด (KAsset) กล่าวว่า แนวโน้มหุ้นไทยในปีหน้ามองเป้าหมายดัชนีที่ 1,600 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต (EPS Growth) ระดับ 12% ส่วนปีนี้ยังหวังแตะ 1,500 จุด บน EPS Growth ที่ 14% แต่ในแง่ของการลงทุนยังคงเน้นย้ำการจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ แบ่งเป็น Core Port 80% และ Sattlelite Port 20%

ขณะเดียวกันบลจ.กสิกรไทยเตรียมออกกองทุน Thai ESG ซึ่งเป็นกองทุนผสม จากปัจจุบันมี 2 กองทุนที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ พร้อมตั้งเป้าเงินลงทุนจากกองทุน Thai ESG เพิ่มขึ้นแตะ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 3,000 ล้านบาทและครองส่วนแบ่งตลาดกองทุน Thai ESG อยู่ที่ 24%


นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ จำกัด (ONEAM) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้โดยมองเป้าหมายปีหน้าที่ 1,650 จุด มีอัพไซด์ประมาณ 12-13% บนประมาณการ EPS 12.39% ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น(EPS) ของ SET ในปี 2567 ขึ้นเล็กน้อย ในหุ้นกลุ่มสื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ อาหาร ธนาคาร และพลังงาน ทำให้โดยภาพรวมกำไรสุทธิใน SET ยังสามารถขยายตัวได้เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน หนุนให้ประมาณการกำไรของตลาดในปีนี้ผ่านจุดต่ำสุดเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ดี อาจจะต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้น

ด้าน นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรี จำกัด (KSAM) กล่าวว่า จากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์และเงินเข้ากองทุนThai ESG จึงคาดว่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปีนี้แตะ 1,500 จุดได้ ส่วนปี 2568 มีโอกาสเห็น 1,625 จุด EPS Growth ที่ 10% คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนรวมเงินปันผลอยู่ที่ 11-12%

ส่วนกองทุน SSF ที่กำลังจะหมดสิทธิภาษีลงทุนในปีสุดท้าย แต่มองว่ากองทุน ThaiESG จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนมากกว่า เนื่องจากกองทุน SSF มีวงเงินลดหย่อนภาษีก้อนเดียวกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และประกันชีวิต รวมอยู่ที่ 500,000 บาท ขณะที่กองทุน ThaiESG ได้วงเงินลดภาษีเต็ม 300,000 บาท