ดาวโจนส์ปิดลบ 0.59 จุด เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 0.59 จุด สวนดัชนี S&P 500, Nasdaq ปิดนิวไฮขึ้นต่อเนื่อง ด้านเฟดลดดอกเบี้ยตามคาด 0.25% ด้าน” ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวเพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 7พฤศจิกายน ปิดที่ 43,729.34 จุด ลดลง 0.59 จุด หรือ -0.001% ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากการปรับขึ้นต่อเนื่องจากวันก่อนหน้าที่โดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ตามคาด

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ ที่ 5,973.10 จุด เพิ่มขึ้น 44.06 จุด, +0.74%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,269.46 จุด เพิ่มขึ้น 285.99 จุด, +1.51%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่เหนือระดับ 19,000 ครั้งแรก หลังจากทั้งสามดัชนีหลักพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระหว่างวัน

ที่ประชุมคณะกรรมการเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย fed fund rate ลงอีก 0.25% มาที่ 4.50-4.75% ตามคาด โดยชี้ว่าตลาดแรงงานโดยทั่วไปคลายความร้อนแรง ใน

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนตัวไปสู่เป้าหมาย 2% และระบุว่าแรงกดดันด้านราคามี “ความคืบหน้า” เมื่อเทียบกับคำที่ใช้ก่อนหน้าว่า “มีความคืบหน้ามากขึ้น”

การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดครั้งนับครั้งที่ 2 ของปีนี้ หลังจากที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% เป็น 4.75-5.00% ในการประชุมเดือนกันยายน

ประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ กล่าวว่า เฟดสบายใจเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ และยังไม่มีการตัดสินใจว่าเฟดจะดำเนินนโยบายแบบไหนในเดือนธันวาคม แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนเฟดพร้อมที่จะปรับการประเมินนโยบายในจังหวะและเป้าหมายที่เหมาะสม

ไรอัน เดทริค หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาดของ Carson กล่าวว่า เฟดไม่ได้ทำให้ป่วน คำถามใหญ่ในตอนนี้คือเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคมหรือไม่ แต่คาดจะลด เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีอยู่ที่ 4.3355% ลดลง 9 จุดภายในวันเดียวจากที่เพิ่มขึ้น 14 จุดในวันพุธ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีอยู่ที่ 4.5393% ลดลงกว่า 6 จุด แม้ว่านักลงทุนบางรายเตือนว่าอัตราดอกเบี้ยอาจไม่ลดลงอย่างต่อเนื่องอย่างที่คาดหวังภายใต้การบริหารของทรัมป์ในรอบที่สอง

นักลงทุนยังคงรอดูว่าพรรครีพับลิกันจะยังคงครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลของทรัมป์สามารถผลักดันนโยบายได้

แมทเธียส ไชเบอร์ หัวหน้าฝ่ายบริหารพอร์ตโฟลิโอระดับโลกของ Allspring Global Investments Systematic Edge Team ในลอนดอน กล่าวว่า พรรครีพับลิกันน่าจะกวาดที่
นั่งไปได้มาก ขณะที่นโยบายการคลังที่ผ่อนคลายลง รวมถึงภาษีการค้าอาจไม่เพียงทำให้เศรษฐกิจเติบโตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอัตราเงินเฟ้อด้วย

ความคาดหวังของนักลงทุนที่ว่าทรัมป์จะลดภาษีนิติบุคคลและผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ทำให้ทั้งสามดัชนีหลักพุ่งสูงขึ้นในช่วงก่อนหน้า

ตลาดคาดว่าการบริหารในรอบที่สองของทรัมป์จะเป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข้อเสนอการลดภาษี อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการขาดดุลของรัฐบาลจำนวนมากอย่างต่อเนื่องและอัตราภาษีที่สูงขึ้น ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของอัตราเงินเฟ้อ

โทนี รอธ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Wilmington Trust กล่าวว่า การซื้อขายจะมีความผันผวนและตลาดหุ้นปรับสูงขึ้น จนกว่ารายละเอียดและผลกระทบของแผนของทรัมป์จะชัดเจน

หุ้น Big Tech ขยับสูงขึ้นในวันพฤหัสบดีและหนุนตลาด โดยหุ้น Apple และหุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 2.1% และ 2.3% ตามลำดับ หุ้น Meta Platforms เพิ่มขึ้น 3.4%

หุ้นกลุ่มการเงินซึ่งพุ่งขึ้นเมื่อวันพุธ ปรับตัวลงในวันพฤหัสบดี หุ้น JPMorgan Chase ลดลง 4.3% และหุ้น American Express ลดลง 2.8% ฉุดดัชนีดาวโจนส์

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ในสัปดาห์ที่แล้วว่า เพิ่มขึ้น 3,000 ราย มาที่ 221,000 ราย แต่ต่ำกว่า 227,000 รายที่นักวิเคราะห์คาด

ตลาดยุโรปปิดบวกจากการฟื้นตัวหลังที่ร่วงลงในวันก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีและกลุ่มทรัพยากร ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษร่วงลงหลังจากธนาคารแห่งอังกฤษปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามงบประมาณชุดแรกของรัฐบาลใหม่

ดัชนี STOXX 600 ทั่วยุโรปปิดสูงขึ้น 0.7% โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้น 2.2% ในกลุ่มเทคโนโลยี หักล้างการลดลงจากวันก่อน กลุ่มรถยนต์เพิ่มขึ้น 2.2% หลังจากที่ลดลงกว่า 2% ในวันพุธ

กลุ่มทรัพยากรพื้นฐานเพิ่มขึ้น 3.9%เป็นการปรับขึ้นภายในวันเดียวมากสุดในรอบ 6 สัปดาห์หลังจากราคาโลหะพื้นฐานดีดตัวขึ้น

ธนาคารกลางอังกฤษกล่าวว่าแผนของรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะเพิ่มอัตราเงินเฟ้อเกือบ 0.50% ในระดับสูงสุดในเวลาเพียง 2 ปี และทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าหนึ่งปีในการดึงให้กลับสู่เป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางอย่างยั่งยืน

หุ้น ArcelorMittal บริษัทผลิตเหล็กรายใหญ่อันดับสองของโลกพุ่งขึ้น 6.5% หลังจากรายงานผลกำไรไตรมาส 3 สูงกว่าที่คาดไว้

หุ้น Banco BPM ธนาคารใหญ่อันดับสามของอิตาลีเพิ่มขึ้น 9% จากแผนการที่จะซื้อ Anima Holding บริษัทจัดการสินทรัพย์เพื่อให้มีอำนาจในการควบคุมเต็ม ภายใต้ข้อตกลงมูลค่าสูงถึง 1.6 พันล้านยูโร (1.7 พันล้านดอลลาร์) หุ้นของ Anima เพิ่มขึ้น 11.1%

รัฐบาลผสมของเยอรมนีล่ม หลังนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ปลดรัฐมนตรีคลัง และปูทางไปสู่การเลือกตั้งอย่างรวดเร็วทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป
หุ้นบริษัทผลิตอาวุธ Rheinmetall เพิ่มขึ้น 9% นำการปรับขึ้นในหุ้นการบินและอวกาศและการป้องกันประเทศ จากการคาดหวังว่าทรัมป์จะเลือกตั้งและการปลดรัฐมนตรีคลังสายอนุรักษ์นิยมทางการคลังของเยอรมนีอาจช่วยเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหม

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะแถลงผลการประชุมหลังจากที่ตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการแล้ว

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 509.92 จุด เพิ่มขึ้น 3.14 จุด, +0.62%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,140.74 จุด ลดลง 25.94 จุด, -0.32%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,425.60 จุด เพิ่มขึ้น 55.99 จุด, +0.76%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,362.52 จุด เพิ่มขึ้น 323.21 จุด, +1.70%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 0.93% ปิดที่ 72.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือน มกราคม เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ หรือ 0.95% ปิดที่ 75.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
———————————————————————————————————————————————————–