HoonSmart.com>> “ทรัมป์” จ่อขึ้นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 นโยบาย” America First” ดันดาวโจนส์ล่วงหน้าพุ่งแรง 1,200 จุด กดดันหุ้นเอเชียติดลบหลายแห่ง นำโดยฮ่องกง -2.23% ดัชนี SET ติดลบ 0.96% หลังวิ่งขึ้นมานาน ส่วนทองลดลง ในประเทศปรับราคาถึง 33 ครั้ง/วัน บิทคอยน์ทะยานขึ้นแตะ 7,500 ดอลลาร์ บล.กรุงศรีคาดหุ้นกลุ่ม TIPs จะผันผวนน้อย รายได้ตรงจีน+สหรัฐฯต่ำกว่า 2-3% เป้าสิ้นปี 1,540 จุด นโยบาย TRUMP 2.0 ดีต่อกลุ่มนิคมฯ พลังงาน ส่งออกอาหาร Domestic
การซื้อขายหุ้นวันที่ 6 พ.ย.2567 ดัชนีหุ้นไทยแกว่งผันผวนเฉียด 25 จุด ระหว่างวันขึ้นไปสูงสุดแตะระดับ 1,487.58 จุด ก่อนพลิกกลับในช่วงบ่ายร่วงลงต่ำสุดที่ 1,463.06 จุด ปิดที่ 1,467.42 จุด -14.25 จุด หรือ-0.96% นักลงทุนต่างชาติขายเพียง 1,782.31 ล้านบาท
ด้านค่าเงินบาทอ่อนสุดในรอบ 2 เดือนบริเวณ 34.17 บาท/ดอลลาร์ ราคาทองในประเทศมีการปรับราคาถึง 33 ครั้งภายในวันเดียว รวมเพิ่มขึ้นบาทละ 400 บาท ส่วนราคาทองโลกลดลง สวนทางราคาบิทคอยน์ สร้างสถิติสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ 75,000 ดอลลาร์ ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปดีดตัวขึ้น โดยเฉพาะดาวโจนส์ล่วงหน้าพุ่งแรง 1,200 จุด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นบ่ายนี้ร่วงค่อนข้างแรง หลัง”ทรัมป์”ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นลบต่อตลาดในเอเชีย แต่จะเป็นบวกต่อตลาดสหรัฐฯ คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้าสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ไม่คิดว่าเงินบาทจะแข็งค่าได้ในช่วงนี้ จึงมองหุ้นปรับฐาน
“ในช่วง 2 วันนี้ได้หุ้นไทยขึ้นมาได้จากแรงดันของหุ้น DELTA ดังนั้นการขึ้นจึงไม่น่าเสถียรได้ ไม่ตรงกับความเป็นจริง ภาพใหญ่จะต้องปรับตัวลง แต่กลับขึ้นมาจากการปรับขึ้นของหุ้นแค่ 3-4 ตัว ทำให้คนไม่อยากซื้อ และเมื่อผลเลือกตั้งสหรัฐฯออกมา “ทรัมป์”ชนะเลือกตั้ง ก็เป็นลบต่อเอเชีย แต่จะเป็นบวกต่อสหรัฐฯ”นายถนอมศักดิ์กล่าว
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบคละกัน ส่วนตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้บวกได้ จากการมองสหรัฐฯดี กลุ่มธนาคาร และกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะปรับขึ้นได้ พร้อมให้ติดตามการทบทวนน้ำหนักลงทุนของ MSCI และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(7 พ.ย.) อ่อนตัวลง ถ้า DELTA ไม่ขึ้นมาผลักดันตลาด โดยให้แนวรับ 1,470-1,460 จุด แนวต้าน 1,488-1,493 จุด
บล.กรุงศรี มอง”ทรัมป์”ชนะส่งผลระยะสั้นให้ Dollar Index ที่แข็งค่าล่วงหน้ามาแตะ 105.3/105.85 จุด จะเริ่มถูกขายทำกำไรและอ่อนค่าลง รับการปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งของเฟดภายในปีนี้ ส่วนเงินบาทที่อ่อนค่ามาแตะ 34.15-34.4 บาทต่อเหรียญฯ จะกลับมาแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี จะติดแนวต้าน 4.5% แล้วมีแรงซื้อกลับ ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง EMs จะสลับกันขึ้น โดยตลาดหุ้นกลุ่ม TIPs และไทย จะผันผวนน้อยกว่า เนื่องจาก มีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 2-3% น้อยกว่า EM อื่นๆ ผสานนโยบายการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลาง และตลาดหุ้นยังมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งยัง Laggard ภายใต้เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเร่งขึ้น
“กลยุทธ์ช่วงสั้นหุ้นไทยเดือน พ.ย. – ธ.ค.67 เดินหน้าแตะเป้าหมาย SET สิ้นปี 67 ที่ 1,540 จุด ได้เป็นอย่างน้อย”
บล.กรุงศรีแนะนำกลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จาก 1.วัฎจักรการปรับลดดอกเบี้ย (กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า, ต้นทุนทางการเงินลดลง, กลุ่มภาระหนี้สูง) 2. นโยบายรัฐบาลสนับสนุน (Digital Wallet, Entertainment Complex และ Infrastructure Technology) 3. หุ้นเติบโตดี, Valuation อยู่ในโซนลงทุน, Yield สูงกว่าผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% รวมถึงกลุ่มที่อยู่ในดัชนี ThaiESG และยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์เดิมต่ำ 4. การบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า โดยมีหุ้นเด่นในไตรมาส 4 ได้แก่ AOT, GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, KTB , ADVANC, HMPRO และให้เพิ่มกลุ่มเด่นรับ นโยบาย TRUMP 2.0 ในระยะกลาง กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA, WHA กลุ่มพลังงาน(PTT) ธนาคาร(SCB, KBANK, KTB) และกลุ่ม Domestic Services & Utilities (CPALL, BJC, HMPRO,GPSC, BDMS, AOT, GULF)
บล.หยวนต้ามองเงินบาทอ่อนค่า 1.7% จาก Dollar Index ที่ปรับตัวขึ้นหลังทรัมป์ มีโอกาสชนะการเลือกตั้ง ถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มส่งออก เช่น STA,TEGH,MALEE, FM,PSLและRCL เป็นต้น