DELTA ฟันกำไร 5.9 พันล้านบ. ขายดี-มาร์จิ้นโต Q3/67 

HoonSmart.com>>”เดลต้า อิเลคโทรนิคส์”(DELTA) ฟอร์มดีต่อ ไตรมาส 3/67 ฟันกำไร 5,911 ล้านบาท โต 8.88% กวาดยอดขายสินค้า-บริการ 43,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% กลุ่มเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวโดดเด่น ความต้องการสูงตาม AI หนุนกำไรขั้นต้น 11,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.4% รวม 9 เดือนปีนี้ กำไรทั้งสิ้น 16,783.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.41% ราคาหุ้นบวก 1.50 บาท แตะ 136.50 บาท สูงกว่าเป้าสูงสุดที่บล.บัวหลวงให้ 135 บาท

บริษัท เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA รายงานผลงานงวดไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิ 5,910.90 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.47 บาท เพิ่มขึ้น 482.24 ล้านบาท เติบโต 8.88% จากช่วงเดียวกันปีก่อนกำไรสุทธิ 5,428.66 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.44 บาท รวม 9 เดือนปีนี้กำไรทั้งสิ้น 16,783.43 ล้านบาท เท่ากับ 1.35 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจำนวน 3,072.28 ล้านบาท หรือ 22.41% จากระยะเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 13,711.15 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 1.10 บาท

กำไรที่ดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 /2567 มาจากยอดขายสินค้าและบริการ 43,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จากฐานสูงในไตรมาสเดียวกันปีก่อนและเติบโตต่อเนื่อง 3.5% จากไตรมาสที่แล้ว ขับเคลื่อนโดยกลุ่มเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวอย่างโดดเด่น ทั้งจากเพาเวอร์ซิสเต็มสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และผลิตภัณฑ์ ดีซี เพาเวอร์ ซึ่งมีความต้องการสูงตามแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่แพร่หลายมากขึ้น ส่งผลต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบเครือข่ายเพื่อรองรับการประมวลผลสมรรถนะสูง

นอกจากนี้กลุ่มพัดลมและระบบจัดการความร้อน และเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรมก็มีการเติบโตที่ดี ขณะเดียวกัน กลุ่มโซลูชั่นสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ยังส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างจำกัด จากช่วงครึ่งปีแรก และปรับตัวลดลงจากฐานสูงในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว  เนื่องจากดีมานด์อุตสาหกรรมยานยนต์โลกอ่อนตัวลง ส่งผลให้ลูกค้าเพิ่มความระมัดระวังในการบริหารสินค้าคงคลัง และปรับแผนการขายให้สอดคลองกับสภาวะตลาด

กลุ่มพาวเวอร์ซิสเต็มสำหรับโครงสร้างพื้นฐานเทเลคอม ยังคงประสบสภาวะยอดขายชะลอตัว ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความท้าทาย บริษัทฯ ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างรัดกุม พร้อมบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนเพื่อมุ่งเน้นการส่งมอบโซลูชันและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทิศทางอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

บริษัทฯมีกำไรขั้นต้นจำนวน 11,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขับเคลื่อนโดยยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์พาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ร่วมกับการบริหารสินค้าคงคลังของกลุ่มสินค้าหลักอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวได้ดีในระดับสูงและเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสก่อนรวมถึงไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง ควบคู่กับการกลับรายการตั้งสำรองสินค้าคงคลังเพิ่มเติม

ขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา)จำนวน 5,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.9%จากปีก่อนหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการขายในส่วนค่าสิทธิจ่ายเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ส่วนค่าใช้จ่ายด้านการบริหารเพิ่มขึ้นจากค่าเสื่อมราคาค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าบริการวิชาชีพ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการตลาด งานประชาสัมพันธ์และอีเว้นท์ต่าง ๆ

บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 5,989 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไร 13.9% เพิ่มขึ้นจาก 12.5% ของงวดเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากความสามารถในการทำกาไรที่ดีขึ้นของยอดขายในกลุ่มสินค้าที่เติบโตสูง

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ บันทึกรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จากทิศทางเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้กำไรสุทธิ  5,911 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13.7% และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.47 บาท เติบโต 8.9% เมื่อเทียบกับ 0.44 บาท

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2567 มีมติให้ควบรวมกิจการของบริษัทย่อยทางอ้อมสองแห่งในประเทศสโลวาเกีย ได้แก่ บริษัท Delta Electronics (Slovakia), s.r.o. กับบริษัท Eltek s.r.o. ดำเนินธุรกิจด้านผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Power System เช่นเดียวกัน จะเหลือเพียงบริษัท Delta Electronics (Slovakia), s.r.o. ที่ดำเนินกิจการต่อไป คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2/2568 ช่วยลดความซับซ้อนของโครงสร้างกลุ่ม และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริหาร ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานแต่อย่างใด

วันที่ 25 ต.ค.2567 นักลงทุนยังคงเข้าซื้อหุ้น DELTA ส่งผลให้ราคาปิดที่  136.50 บาทเพิ่มขึ้น 1.50 บาทหรือ +1.11% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,281.82 ล้านบาท ทั้งนี้ราคาปิดที่ 136.50 บาท สูงกว่าราคาสูงสุดที่บล.บัวหลวงให้เป้าหมาย 135 บาท ราคาเฉลี่ย 104.85 บาท และบล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง (KTX) ให้ต่ำสุดเพียง 60.25 บาท โดยโบรกเกอร์ 4 ใน 15 รายแนะนำให้ซื้อ 10 รายให้ถือ และ 1 รายให้ขาย