MPJ เคาะ IPO ที่ 6 บาท จอง 28-30 ต.ค. เทรด 6 พ.ย.นี้

HoonSmart.com>>เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ เสนอขาย IPO ราคาหุ้นละ 6 บาท จำนวน 53 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อ 28-30 ต.ค.นี้ พร้อมเข้าเทรด เอ็ม เอ ไอ 6 พ.ย. 67 นำเงินชำระหนี้สถาบันการเงิน ขยายคลังสินค้าชลบุรี ระยอง กรุงเทพ คาดพลิกกระแสเงินสดเป็นบวกใน 3 ปีข้างหน้า วางตำแหน่งเป็นหุ้นเติบโตที่มีความมั่นคงสูง 5 โบรกให้ราคาที่เหมาะสม 8 – 9.50 บาท ผู้ถือหุ้นใหญ่กอดหุ้น 12 เดือน

นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก ในฐานะผู้นำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นบริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ (MPJ) เปิดเผยว่า MPJ เป็นหุ้นโลจิสติกส์น้องใหม่ ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จึงมีการกำหนดราคา IPO ที่ 6 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2564 จนถึง 6 เดือนของปี 2567 ที่รายได้และกำไรไปในทิศทางบวก ซึ่งสะท้อนถึงพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ มีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ บล.โกลเบล็ก, บล.ฟินันเซีย ไซรัส ,บล. ดาโอ (ประเทศไทย) , บล. กรุงศรี และบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนสามารถจองซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 28-30 ต.ค. และคาดว่าจะเริ่มเข้าซื้อขายในตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรกในวันที่ 6 พ.ย. นี้

“ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเสนอขายหุ้น เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมาแล้ว อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่า และจากการที่บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน”นายกิตติพันธ์ กล่าว

5 โบรกฯให้ราคาเหมาะสมที่ 8-9.50 บาท

ทั้งนี้ 5 บริษัทหลักทรัพย์ข้างต้น ประเมินราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 8-9.50 บาท

นายจีระศักดิ์ มานะตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ (MPJ) เปิดเผยว่า MPJ เป็นบริษัทผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ครบวงจร และมีประสบการณ์กว่า 16 ปี ให้บริการขนส่งทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ครอบคลุมการให้บริการขนส่งทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ และมีธุรกิจหลักคือการให้บริการลานตู้คอนเทนเนอร์ และ การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากท่าเรือ แหลมฉบังเชื่อมโยงการขนส่งทางบก

สำหรับ 6 เดือนแรกปี 2567 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 456 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 38.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.33 ล้านบาท หรือ 23.61% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้นจากธุรกิจบริหารลานตู้คอนเทนเนอร์ ธุรกิจจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และธุรกิจให้บริการเช่าคลังสินค้าจากการรับรู้รายได้คลังสินค้าในพื้นที่จังหวัดระยอง

ทั้งนี้ บริษัทมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จะมีการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป หรือ IPO จำนวน 53 ล้านหุ้น จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 200 ล้านหุ้น โดยผู้ถือหุ้นใหญ่จะไม่มีการขายหุ้นออกเป็นเวลา 12 เดือน

เงินที่ได้จาก IPO ไปเพิ่มทุนในบริษัทย่อยบริษัท เอ็ม พี เจ แวร์เฮ้าส์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MPJWD) เพื่อการปรับโครงสร้างทุนภายในกลุ่มบริษัท โดยจะนำไปชำระหนี้เงินกู้สถาบันการเงินของ MPJWD 150 ล้านบาท และชำระหนี้เงินกู้ระหว่างกลุ่มบริษัท 35 ล้านบาท และจะมีการซื้อรถบรรทุกหัวลากคันใหม่ที่จะเน้นรถไฟฟ้ามาทดแทนคันเก่าที่หมดอายุการใช้งานประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเรื่องราคาน้ำมัน ปรับปรุงลานตู้คอนเทนเนอร์ และการลงทุนอุปกรณ์ในลานตู้รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมโลกจิสติกส์ ขยายคลังสินค้าที่ชลบุรี ระยอง และเพิ่มธุรกิจคลังสินค้าที่กรุงเทพมหานคร


“ธุรกิจโลจิสติกส์มีโอกาสเติบโตสูงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทำให้การนำเข้าส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทมีการโฟกัสพื้นที่หลักๆ ที่แหลมฉบัง ท่าเรือแหลมฉบังครองส่วนแบ่งการขนส่งสินค้าทางเรือ 90% อีก 10% ใช้บริการที่ท่าเรือคลองเตย และท่าเรือแหลมฉบัง กำลังขยายพื้นที่ให้บริการใหม่คาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษตะวันออก หรือ อีอีซี มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง”นายจีระศักดิ์ กล่าว

นายจีระศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันรายได้จากการขนส่งมีประมาณ 500 ล้านบาท และ รายได้จากลานตู้คลังสินค้า 300 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตหลังจากขยายธุรกิจจะทำให้รายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 150 ล้านบาท แม้รายได้จะน้อยคิดเป็นสัดส่วนราว 30% แต่สามารถทำกำไรให้กลุ่มถึง 50%

สำหรับ รายได้จากส่วนธุรกิจที่จะมีการขยายลานตู้คลังสินค้าที่กรุงเทพ ซึ่งกำลังศึกษาพื้นที่แถวลาดกระบัง และบางนา จะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 10 เดือน น่าจะเปิดได้ประมาณ ไตรมาส 3 ปี 2568 และรายได้จะเข้ามาประมาณไตรมาส 4 ปี 2568

หุ้นมั่นคงสูง+เติบโต

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า MPJ เป็นบริษัทผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่ครบวงจร มีจุดเด่นหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการให้บริการลานตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งบริษัทโลจิสติกส์อื่นๆ จะมีไม่มาก

นอกจากนี้การร่วมทุนกับสายเรือระดับโลก OOCL และ COSCO ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดีของ MPJ มาอย่างยาวนาน มีการส่งงานทางเรือมาให้ MPJ ทำให้มีปริมาณงานที่มั่นคงและต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเติบโตและขยายตัวของธุรกิจการนำเข้า-ส่งออก ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยให้บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต

“เราถือว่าหุ้น MPJ เป็นหุ้นที่มีความมั่นคงสูงและเป็นหุ้นที่เติบโตด้วย แต่ไม่ใช่หุ้น high growth เพราะธุรกิจนี้เวลาจะขยายธุรกิจต้องใช้เงินลงทุน ต้องใช้เวลา”นายเอกจักร กล่าว

หนี้สินต่อทุนไม่มาก

นายไพรัต ภูฆัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ (MPJ) กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ 2.08 เท่า แต่ถ้าหักหนี้สินตามสัญญาทางการเงินออก จะเหลือ 0.8 เท่า แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีรูมในการที่จะขยายการลงทุนได้อีกมาก

สำหรับรายได้ หลังการขยายลานตู้ในกรุงเทพ ขยายคลังสินค้า 2 แห่งที่ชลบุรี และระยอง คาดว่ารายได้ในปี 2568 และปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 20%

ปิดทุกความเสี่ยง
สำหรับ ความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ประกอบด้วย ความเสี่ยงจากการที่อาจไม่ได้รับการต่ออายุหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญาเช่าที่ดินซึ่งใช้ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งได้ทำสัญญาเช่าระยะยาว เป็นเวลา 20-30 ปี
ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จะมีการซื้อรถไฟฟ้าทดแทนรถเก่าที่ใช้น้ำมันซึ่งหมดอายุการใช้งาน และกำหนดค่าบริการและทำสัญญาค่าบริการกับสายเรือ โดยอ้างอิงกับราคาน้ำมัน ทำให้สามารถเพิ่มค่าบริการขนส่งได้ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงจากการไม่ต่อสัญญาร่วมทุนเพื่อดำเนินการธุรกิจให้บริการลานตู้ของบริษัทร่วม ฝ่ายบริหารมีความมั่นใจว่าจะได้รับการต่อสัญญาจาก OOCL
ความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าระวาง มีการกำหนดราคาขายโดยเสนอราคาต้นทุนบวกกำไรขั้นต่ำ
ความเสี่ยงในการต่อสัญญาเช่าคลังสินค้า ทางบริษัทเชื่อว่าด้วยทำเลที่ตั้งของคลังสินค้าในปัจจุบันและอนาคต อยู่ในทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพอยู่บริเวณใกล้เคียงกับท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดระยอง ที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าในการขนส่งสินค้า จึงเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการจำนวนมาก อีกทั้ง มีการกำหนดอัตราค่าเช่าที่สามารถแข่งขันกับตลาดได้ ดังนั้นความเสี่ยงข้างต้นจึงมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อบริษัทอยู่ในระดับต่ำ