HoonSmart.com>>บล.เอเซีย พลัส มองหุ้นไทยเดือนก.ย.น่าสนใจ ล่าสุด Market Earning Yield Gap 4.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 3.9% เริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงตลาด ทั้งคาด GDP ครึ่งหลังปี 67 โต 3.5% สูงกว่าครึ่งปีแรก, Digital Wallet ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจ กรอบดัชนีฯเดือนก.ย.อยู่ที่ 1,300–1,400 จุด พร้อมมองหุ้นเด่น CKP, PR9, AOT, CPALL, INTUCH, MTC
บล.เอเซีย พลัส มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index เดือน ก.ย.2567 ไว้ที่ 1,300–1,400 จุด หลังเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย ทั้งถนนการเมืองไทยที่ขรุขระเริ่มราบเรียบขึ้น พร้อมกับนโยบายรัฐบาลเดินหน้าต่อแบบไม่มีสูญญากาศ โดยงบประมาณปี 2567 และ 2568 ไม่สะดุด หนุนให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตแรงจากฐานต่ำ คาด GDP ครึ่งหลังปี 2567 เติบโต 3.5% (GDP ครึ่งแรกปี 2567 +1.9%) พร้อมกับมี Digital Wallet ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนครึ่งแรกปี 2567 อยู่ที่ 5.3 แสนล้านบาท เติบโต 3.9%YOY ขณะที่กำไรช่วงครึ่งหลังปี
2567 ประเมินมีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 27%YOY และจากฐานครึ่งหลังปี 2566 ที่ต่ำ 4.6 แสนล้านบาท
เดือน ก.ย. เริ่มนโยบายการเงินโลกผ่อนคลายแบบเต็มสูบ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปีครึ่ง และน่าจะลด 0.75 – 1% ในช่วงเวลาที่เหลือของปี เหลือ 4.5% – 4.75% หนุนให้ค่าเงินเอเชียและบาทแข็งค่าขึ้น และเม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามช่วงต้นเดือน รอดูตัวเลขภาคตลาดแรงงาน ณ 6 ก.ย. ถ้าอัตราการว่างงานใน เดือน ส.ค.67 ออกมาตามตลาดคาด 4.2% จะทำให้ตัวชี้นำ Recession อย่าง SAHM RULE ช่วง Mini Black Monday 0.53% เพิ่มขึ้นเป็น 0.57% ได้ รวมถึงรอติดตามการดีเบตของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ใน 10 ก.ย. นี้
FUND FLOW เป็นอีกหนึ่งความหวังที่จะเป็น Momentum ไหลเข้าต่อเนื่อง ทั้งจากสถาบันในประเทศที่มีแรงเสริมจากกองทุน TESG ใหม่ และกองทุนวายุภักษ์ใหม่ และนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยซื้อหุ้นไทยต่อจากโอกาสเกิด Recession ลดลง, การฟื้นตัว เศรษฐกิจชัดขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าจากส่วนต่าง ดอกเบี้ยสหรัฐและไทยค่อยๆ แคบลง หนุนให้นักลงทุนต่างชาติได้ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม
ส่วนความเสี่ยงในเดือนนี้ต้องติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดเห็นว่าน่าจะไม่ได้น่ากลัวเหมือนปี 2554 เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนและปริมาณน้ำฝน ยังน้อยกว่าปี 2554 มาก
ในมุม Valuation ตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความน่าสนใจ เพราะล่าสุดมี MEYG (Market Earning Yield Gap) 4.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 3.9% และสูงกว่าตลาดหุ้นอินโดนีเซีย มี MEYG 0.7% และฟิลิปินส์ 2.1% เท่านั้น และในมุม Upside ฝ่ายวิจัยฯ วางเป้าหมายดัชนีปี 2567 อยู่ที่ 1,450
จุด และหากกนง.ลดดอกเบี้ยทุกๆ 1 ครั้ง มีโอกาสยกเป้าหมายดัชนีให้สูงขึ้นไปได้ทีละ 60 จุด
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 3 ปี 2567 เด่น CKP, PR9 และหุ้นใหญ่เป้าหมาย FUND FLOW AOT, CPALL, INTUCH, MTC