HoonSmart.com>>บจ.มีผลงานดีขึ้นไตรมาส 2/67 ใน SET กำไรจากการดำเนินงานหลัก 922,736 ล้านบาท โต 18.7% กำไรสุทธิ 519,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับท่องเที่ยวที่สร้างมูลค่าเพิ่มไปสู่ธุรกิจภาคบริการ อุปโภคบริโภค กลุ่มธุรกิจน้ำมันได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่วนบจ. mai ยอดขายรวม 104,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.7% กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 44.8% เพิ่มขึ้น 44.8% กำไรสุทธิรวม 6,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.5 %
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 819 บริษัท คิดเป็น 95.7% จากทั้งหมด 856 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวด 30 มิถุนายน 2567 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลงานไตรมาส 2/2567 มี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 631 บริษัท คิดเป็น 77.05% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 เติบโตต่อเนื่อง โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 8.4% ส่งผล 6 เดือนมียอดขาย 8,964,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเพียง 4.9% และ 6.0% ทำให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 922,736 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 519,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% และ 9.7% ตามลำดับ สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 มิ.ย. 2567 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ในระดับคงที่ที่ 1.51 เท่า
“การท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ บจ. ภาคธุรกิจการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีกำไรดีขึ้น เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค โรงแรม การบิน พื้นที่เช่า ค้าปลีก โรงพยาบาล และโทรคมนาคม อีกทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ธุรกิจน้ำมันปรับดีขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ในครึ่งปีแรก บจ. มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิเติบโตได้ดี อย่างไรก็ดี ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างได้รับผลกระทบจากปริมาณงานภาครัฐ และเอกชนที่ลดลง” นายภากร กล่าว
ทางด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทรายงานกำไรจำนวน 212 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 221 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) ส่วน 6 เดือน บจ. รายงานกำไรสุทธิจำนวน 152 บริษัท คิดเป็น 72% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
บจ. mai มีผลงานงวด 6 เดือนปีนี้ มียอดขาย 104,296 ล้านบาท และต้นทุนขาย 76,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.7% และ 5.6% ตามลำดับ ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 28,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 19,727 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 8,352 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.8% และ 80.5 % ตามลำดับ
ทั้งนี้หากไม่นับรวมบริษัทจดทะเบียน 5 อันดับแรก ที่มีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นจากการ Turn around กำไรสุทธิจะเป็น 4,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% อย่างไรก็ตาม งวด 6 เดือน ปี 2567 บจ. มีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดยพิจารณาจาก Gross Profit Margin Operating Profit Margin และ Net Profit Margin อยู่ที่ระดับ 26.9% 8.0% และ 5.7% เพิ่มขึ้น 1.4% 2.0% และ 2.3% ตามลำดับ
“ภาพรวม 6 เดือนปี 2567 ของ บจ. ใน mai ปรับตัวดีขึ้น บจ. มีการควบคุมทั้งต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารมาตั้งแต่ไตรมาสแรกในปีนี้ ทำให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น และยอดขายเติบโตในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มทรัพยากรที่มียอดขายลดลงเล็กน้อย แต่หากพิจารณากำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิ เกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น มีเพียงกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยีที่มีกำไรลดลง” นายประพันธ์กล่าว
ส่วนฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 333,749 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากสิ้นปี มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.76 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2566 ที่เท่ากับ 0.77 เท่า
ปัจจุบันมี บจ.ใน mai 221 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ส.ค. 2567) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 329.40 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 337,943 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,639 ล้านบาทต่อวัน