ดาวโจนส์ปิดดิ่ง 1,033 จุด กังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

HoonSmart.com>> 3 ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงแรงมากกว่า 2-3%  ดัชนีดาวโจนส์ทรุดกว่า 1,000 จุด ถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบเกือบสองปี กังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯจะถดถอย ธนาคารกลางสหรัฐผิดพลาดในการรักษาอัตราดอกเบี้ยให้คงที่ในการประชุมนโยบายครั้งล่าสุด นักลงทุนไม่สนตัวเลขกิจกรรมภาคบริการเดือนก.ค.ดีดตัวขึ้น  S&P 500 ร่วงลง นำโดยเทคโนโลยี   ด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX 600 ปิด -2.2%  ราคาน้ำมันดิบลดลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 5 ส.ค.2567 ปิดที่ 38,703.27 จุด ลดลง 1,033.99 จุด หรือ -2.60% เป็นการร่วงลงอย่างรวดเร็ว ถือเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบสองปี ด้วยแรงขายออกที่ต่อเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทำให้เกิดการเทขายในตลาดโลก

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,186.33 จุด ลดลง 160.23 จุด, -3.00% เป็นการลดลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,200.08 จุด ลดลง 576.08 จุด, -3.43%

ความกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยกระทบตลาดทั่วโลกและทำให้นักลงทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการจ้างงานในเดือนกรกฎาคมที่น่าผิดหวังเมื่อวันศุกร์

นักลงทุนยังกังวลว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้าไปจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เฟดเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดในรอบสองทศวรรษในการประชุมสัปดาห์ที่แล้ว

นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจกำลังสูญเสียพลังงานอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาดไว้ และธนาคารกลางสหรัฐผิดพลาดในการรักษาอัตราดอกเบี้ยให้คงที่ในการประชุมนโยบายครั้งล่าสุด

ดัชนี Cboe ที่วัดความผันผวน ซึ่งเป็น “มาตรวัดความกลัว” ของ Wall Street มีการปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2020

หุ้นทั้ง 11 กลุ่มใน S&P 500 ร่วงลง นำโดยเทคโนโลยี นักลงทุนยังคงขายหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และหุ้น AI ออก โดยหุ้น Nvidia ร่วงลง 6.4% หุ้นแอปเปิลร่วง 4.8% หลังจากที่ Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟต์ ลดสัดส่วนการลงทุนลงครึ่งหนึ่ง ส่วนหุ้นเทสลาลดลง 4.2% และหุ้น Super Micro Computer ลดลง 2.5%

นายออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดแห่งชิคาโกให้สัมภาษณ์รายการ“Squawk Box” ของ CNBC เมื่อวันจันทร์ โดยเลี่ยงที่จะพูดถึงการดำเนินการที่เจาะจง แต่กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันอาจ “เข้มงวดเกินไป”

หากภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างมีนัยสำคัญ ธนาคารกลางจะ “ดำเนินการ” นายดุลส์บีกล่าว

เนวิลล์ ฮาเวรี ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอและหัวหน้าทีม Empiric LT Equity กล่าวว่า การขายหุ้นออกวันนี้ เป็นความวิตกกังวลที่มากขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว ที่เริ่มด้วยข้อมูลการจ้างงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และนำไปสู่ความเชื่ออย่างชัดเจนว่าเฟดต้องเริ่มดำเนินการเชิงรุกมากขึ้นเกี่ยวกับตัวเลขการว่างงาน

อย่างไรก็ตามการปรับลงของดัชนีดีขึ้นในช่วงเช้าหลังจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมภาคบริการของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบสี่ปีท่ามกลางคำสั่งซื้อและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.4 ในเดือนก.ค. โดยฟื้นตัวขึ้นจากระดับ 48.8 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 51.0 โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน

เทรดเดอร์มองว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมนโยบายครั้งต่อไปในเดือนกันยายน และมีโอกาสเพียง 14% ที่ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จุดตามรายงานของ FedWatch Tool ของกลุ่ม CME

นอกจากนี้การลดลงของหุ้นส่วนหนึ่งมาจากการลดสถานะของ Carry Trade ซึ่งนักลงทุนกู้ยืมเงินจากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น ญี่ปุ่น หรือสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูง

ตลาดยุโรปปิดลบ ดัชนีหลักของยุโรปแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 เดือน จากความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะชะลอตัวลงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยหุ้นพลังงานและสาธารณูปโภคนำการปรับลง

ดัชนี STOXX 600 ปิดลดลง 2.2% แต่ฟื้นจากระดับต่ำสุดของวัน และเป็นการลดลงรอบสามวันที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 โดยปิดต่ำกว่าระดับ 500 จุดเป็นวันที่สอง

ดัชนี Euro STOXX ที่บ่งชี้ความผันผวนของตลาด ปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 สะท้อนถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก

นักลงทุนเลี่ยงความเสี่ยงมากขึ้นจากความกลัวว่าสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างรุนแรง แต่ก็มีความหวังว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ข่าวการฟื้นตัวของภาคบริการของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมช่วยให้นักลงทุนโล่งใจได้บ้าง และหนุนหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปส่วนหนึ่ง

ความกังวลทางเศรษฐกิจในประเทศยังมาจากกิจกรรมทางธุรกิจในยูโรโซนที่ชะลอตัวเมื่อเดือนที่แล้ว

นักลงทุนมองว่ามีโอกาส 78% ที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50%ในเดือนกันยายน ขณะที่โอกาสที่ธนาคารกลางยุโรปจะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สองโดยยังคงอยู่ที่ 88% ตามข้อมูล LSEG

กลุ่มพลังงานแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ตามราคาน้ำมันที่ลดลง กลุ่มสาธารณูปโภคแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน หุ้นธนาคาร ก็ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสี่เดือน

กลุ่มเทคโนโลยีและเคมีภัณฑ์ต่างลดลงประมาณ 1%

สำหรับหุ้นรายตัว Aurubis ผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ที่สุดของยุโรปร่วงลง 12% หลังจากที่กำไรก่อนหักภาษีในไตรมาสที่สามต่ำกว่าคาด
หุ้น Infineon เพิ่มขึ้น 1.3% จากแผนการลดพนักงาน

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 487.05 จุด ร่วงลง 10.80 จุด, -2.17%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,008.23 จุด ร่วงลง 166.48 จุด, -2.04%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,148.99 จุด ลดลง 102.81 จุด, -1.42%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 17,339.00 จุด ลดลง 322.22 จุด, -1.82%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 58 เซนต์ หรือ 0.79% ปิดที่ 72.94ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 51 เซนต์ หรือ 0.66% ปิดที่ 76.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล