ทริสเรทติ้งให้เครดิต ITD เท่าเดิม BBB- ธุรกิจแข็งแกร่ง บริษัทรับเหมาฯที่มีรายได้สูงสุดในตลาดหุ้นไทย 4-5 หมื่นล้านบาท/ปี โครงการที่ยังไม่ส่งมอบในปีนี้สูงถึง 150,242 ล้านบาท ชี้จุดอ่อนฐานะการเงินอ่อนแอ แบกหนี้สูงกว่า 4.4 หมื่นล้านบาท จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2,000 ล้านบาท ลงทุนโครงการใหญ่มานาน ยังไม่มีรายได้ หากมาร์จิ้นธุรกิจไม่ถึง 8.5% มีความเสี่ยงขาดทุน
บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ที่ระดับ ‘BBB-‘สะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศ และผลงานเป็นที่ยอมรับในความสามารถในการรับงานก่อสร้างหลากหลายประเภท รวมถึงมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก ตลอดจนแนวโน้มในเชิงบวกของธุรกิจรับเหมาฯในประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าอีกด้วย จากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนจากสถานะทางการเงินที่อ่อนแอและลักษณะที่เป็นวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาฯ รวมถึงการลงทุนในหลาย ๆ โครงการที่ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งยากที่จะทำให้สถานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้น
ITD แชมป์รับเหมารายได้สูงสุด 4-5 หมื่นล้านบาท/ปี
สำหรับ ITD เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม เป็นบริษัทรับเหมาฯที่มีรายได้สูงสุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทมีรายได้อยู่ในช่วง 45,000-50,000 ล้านบาทต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผลงานที่เป็นที่ยอมรับทั้งโครงการภาครัฐและเอกชน สามารถรับงานได้หลายประเภท และทั่วประเทศไทย ทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และยังหาโอกาสในการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ไปยังต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวช่วยให้บริษัทลดความเสี่ยงจากธุรกิจรับเหมาฯกระจุกตัวของลูกค้า ทำเลที่ตั้งโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ และประเภทงานที่หลากหลาย
มีงานในมือที่ยังไม่ส่งมอบ 301,534 ล้านบาท
การคงอันดับเครดิตได้พิจารณาถึงโครงการที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากและมีความหลากหลาย ณ เดือนมิ.ย. 2561 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 301,534 ล้านบาท รวมสัมปทานก่อสร้างทางรถไฟและท่าเรือน้ำลึกในประเทศโมซัมบิกมูลค่า 113,694 ล้านบาท โครงการสัมปทานทางด่วนในประเทศบังคลาเทศมูลค่า 37,598 ล้านบาท ซึ่งงานก่อสร้างหลักของทั้ง 2 โครงการยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งไม่รวม 2 โครงการดังกล่าวในประมาณการเพื่อเป็นการพิจารณามูลค่างานใน Backlog อย่างระมัดระวัง
หากไม่นับรวมโครงการในประเทศโมซัมบิกและบังคลาเทศแล้ว บริษัทยังมีมูลค่าโครงการที่ยังไม่ส่งมอบในปีนี้สูงถึง 150,242 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยโครงการขนาดใหญ่ ๆ เช่น โครงการเหมืองหงสาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) มูลค่า 19,018 ล้านบาท และโครงการเหมืองแม่เมาะสัญญา 9 มูลค่า 29,507 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ถึงปี 2572 การที่บริษัทมีมูลค่างานจำนวนมากจะช่วยรักษารายได้ในอนาคตของบริษัทเอาไว้ได้ หากบริษัทสามารถดำเนินงานได้เสร็จตามแผนงาน
งานใหม่หนุนรายได้โตกระโดดเป็น 7 หมื่นล้านบาทปี 64
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ยังคงสอดคล้องกับประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง โดยรายได้ในครึ่งแรกปี 2561 เท่ากับ 29,354 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคและโครงการอุตสาหกรรมในต่างประเทศ รวมถึงโครงการระบบขนส่งมวลชนในประเทศบังคลาเทศด้วย ความสามารถในการทำกำไรยังคงทรงตัว อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 10% ทรงตัวจากปี 2560
ในส่วนความสามารถในการแข่งขันของบริษัทและโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนอันดับเครดิต ทริสคาดว่าผลการดำเนินงานจะค่อย ๆ ดีขึ้นได้ โดยชนะงานประมูลใหม่แล้วมูลค่าประมาณ 38,992 ล้านบาทในครึ่งแรกของปี 2561 ขณะที่ในปี 2560 ได้งานใหม่ประมาณ 83,219 ล้านบาท ส่วนประมาณการรายได้คาดว่าจะเติบโตจากระดับ 57,000 ล้านบาทภายในปี 2561 เป็น 70,000 ล้านบาทในปี 2564 มูลค่างานในมือจำนวนมากจะช่วยรักษาระดับรายได้ประมาณ 85% ของรายได้ในปี 2561-2562 ประมาณ 70% ในปี 2563 และ 50% ในปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนกำไร(มาร์จิ้น)คาดว่าจะเกินกว่า 8.5%
แบกหนี้ 45,484 ล้านบาทสิ้นมิ.ย.61
อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากสถานะทางการเงินที่อ่อนแอ บริษัทมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูงและอาจเผชิญกับความยากลำบากในการสร้างกระแสเงินสดให้เพียงพอกับการชำระหนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่มบริษัทรับเหมาฯที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต ภาระหนี้ทั้งหมดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 45,484 ล้านบาท ณ เดือนมิ.ย. 2561 จากระดับ 40,390 ล้านบาทในปี 2560 และ 35,151 ล้านบาทในปี 2559 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนยังคงสูงถึง 72.3% ณ เดือนมิ.ย.2561 เพิ่มจาก 71.8% ณ สิ้นปี 2560 เราประมาณการว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงเพิ่มขึ้น จากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนจำนวนมากเพื่อใช้ในการดำเนินงานโครงการก่อสร้าง
จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2,000 ล้านบาท
ทริสเรทติ้ง เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานลดลงอย่างมากจากภาระดอกเบี้ยจ่ายมากกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 2.6 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงิน อยู่ที่ 7.0% ในปี 2560 และลดลงเป็น 6.4% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
ทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วงปี 2561-2564 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะยังคงอยู่ในระดับสูง ที่ระดับ 70-73% อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอาจเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 2.9 เท่า ซึ่งใกล้กับข้อกำหนดในสัญญาของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ให้ไม่เกิน 3.0 เท่า
ประมาณการค่าใช้จ่ายในการลงทุนในปี 2561 อยู่ที่ประมาณ 3,200 ล้านบาท และบริษัทจะต้องซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ใหม่สำหรับโครงการเหมืองแม่เมาะสัญญา 9 ในช่วงปี 2562 และปี 2563 ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,500-6,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2 ปีนี้และจะลดลงเป็นประมาณ 3,800 ล้านบาทในปี 2564 คาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 3,000-3,500 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะสูงกว่า 7% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่า 2 เท่า
ภาระหนี้จากการลงทุนผิดพลาด เสี่ยงขาดทุน
สำหรับภาระหนี้จำนวนมากเกิดจากเงินลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่ยังไม่ประสบความสำเร็จและไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดกลับมา บริษัทได้ลงทุนระยะยาวใน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย โครงการนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศเมียนมา โครงการทางด่วนในประเทศบังคลาเทศ โครงการเหมืองแร่ Bauxite และโรงงาน Alumina ใน สปป. ลาว และโครงการสัมปทานก่อสร้างทางรถไฟและท่าเรือน้ำลึกในประเทศโมซัมบิก โดยเฉพาะโครงการเหมืองแร่โปแตชและนิคมอุตสาหกรรมทวายที่ล่าช้ามาเป็นเวลานาน ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้บริษัทลงทุนไปแล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท
“การลงทุนเหล่านั้นจะเป็นภาระ บริษัทยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะความเสี่ยงของประเทศที่เข้าไปลงทุน รวมทั้งความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อประโยชน์จากการลงทุน บริษัทยังคงต้องแบกรับภาระหนี้ในระดับสูง ในขณะที่บริษัทยังไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนขนาดใหญ่ในระยะใกล้นี้ ภาระดอกเบี้ยจ่ายอาจสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานได้ หากบริษัทมีอัตรากำไรลดลงหรือขาดทุนในหลาย ๆ โครงการ เช่นเดียวกับบริษัทรับเหมาอื่น ๆ บริษัทต้องเผชิญกับวัฏจักรของธุรกิจรับเหมา ซึ่งในช่วงวัฏจักรขาลงจะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัทอย่างมาก
มีหนี้ต้องชำระ 23,373 ล้านบาท 12 เดือนข้างหน้า
บริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ค่อนข้างตึงตัว แต่สามารถบริหารจัดการได้ ณ เดือนมิ.ย. 2561 บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 23,373 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้น 11,245 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาว 10,829 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 1,300 ล้านบาท ขณะที่แหล่งเงินทุนมาจากเงินสดจำนวน 3,782 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 6,325 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยภาระหนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมเพื่อใช้ในโครงการก่อสร้าง ซึ่งมีกำหนดชำระคืนตามความก้าวหน้าของโครงการก่อสร้าง เชื่อว่าบริษัทจะสามารถต่อสัญญาการกู้ใหม่ออกไปได้
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถประมูลงานใหม่จำนวนมากได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ รวมถึงเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและสภาพคล่องทางการเงินได้ด้วยเช่นกัน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้อยู่สูงกว่า 8.5% ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระแสเงินเพื่อให้เพียงพอกับภาระหนี้ได้ และยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขของการกู้ยืมเงินได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ถึงแม้ว่าภาระหนี้จะสูงขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่า 7% หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงต่ำกว่า 5% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า