HoonSmart.com>>บลจ.เอ็มเอฟซี มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3/67 เคลื่อนไหว Sideways รอคดีการเมือง ในระยะยาวยังมองเชิงบวก คัด 5 กองทุนแนะนำ “MBT-G, M-FOCUS, M-MIDSMALL, M-S50, HI-DIV” ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ มองแนวโน้มขาขึ้น กลุ่มเทค AI หนุน “หุ้นยุโรป” รับนโยบายการเงินธนาคารกลางยุโรปผ่อนคลายลง เศรษฐกิจฟื้น “หุ้นอินเดีย” เศรษฐกิจแข็งแกร่ง กำไรบจ.เติบโต
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) เผยกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3 ปี 2567 มองตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหว Sideways ตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนก.ค. ถูกกดดันจากประเด็นการเมืองภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล และกรณีการพิจารณาคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน จึงสะท้อนภาพความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เรามองว่าระยะสั้นผันผวนเล็กน้อย มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทย
ส่วนปัจจัยบวกที่เป็นแรงหนุน ได้แก่ ตัวเลขภาวะการค้าระหว่างประเทศ (การส่งออก) ประจำเดือนพ.ค. ของไทยที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีและปัจจัยด้านการท่องเที่ยวที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นับตั้งแต่ 1 ม.ค.-23 มิ.ย.67 ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมรวมทั้งสิ้น 16,841,453 คน
“ปัจจัยราคาหุ้นไทยยังอยู่ระดับที่น่าสนใจ ที่ซึ่งปัจจุบันค่า Forward P/E ของดัชนี SET Index อยู่ที่ระดับ 13.16 เท่า ดังนั้น เราจึงมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยระยะสั้น 0-6 เดือน เป็น Neutral ส่วนระยะยาว 6-12 เดือน มีมุมมองเชิงบวกให้ น้ำหนักเป็น Overweight”
กองทุนแนะนำ : MBT-G, M-FOCUS, M-MIDSMALL, M-S50 และ HI-DIV
ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดไตรมาส 2/67 ดัชนี SET INDEX ณ วันที่ 28 มิ.ย. 67 อยู่ที่ระดับ 1,300.96 จุด จากระดับ 1,377.94 จุด (29 มี.ค. 67) ปรับลดลง -5.59% (QoQ) ทิศทางกระแสเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. มียอดขายสุทธิอยู่ที่ -47,705.29 ล้านบาทและตั้งแตั้ ต่ 1 ม.ค.–28 มิ.ย.67 มียอดเงินออกจากตลาดหุ้นไทยสุทธิอยู่ที่ -117,031.50 ล้านบาท
ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ มองยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธีม AI เช่น NVIDIA และ Microsoft ซึ่งประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด เฟดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (GDP) ทั้งปีนี้ ยังขยายตัวได้ 2.1% ในระยะสั้น มีโอกาสที่จะเห็นการย่อตัวลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในไตรมาสนี้ ราว 3-5% เนื่องจากปัจจุบันดัชนี S&P500 ที่บริเวณ 5,500 จุด เป็นราคาที่มี Valuation ค่อนข้างตึงตัว
“แนะนำให้หาจังหวะทยอยลงทุน และให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เป็น Overweight สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในไตรมาส 3 คือ การดีเบตประชันวิสัยทัศน์รอบที่ 2 ของคู่ชิงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนก.ย.”
สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในไตรมาส 3 คือ การดีเบตประชันวิสัยทัศน์รอบที่ 2 ของคู่ชิงชิตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนก.ย. โดยหลังการดีเบตรอบแรก CNN เผยผลการสำรวจ พบว่าผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประมาณ 67% มอง “โดนัลด์ทรัมป์” ทำได้ดีกว่า “โจ ไบเดน”
กองทุนแนะนำ : MGF, MCONT, M-USEQH และ M-USEQUH
ตลาดหุ้นยุโรป ในไตรมาส 3 อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น คาดเคลื่อนไหวในแนว Sideways up โดยเราคงน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปที่ Overweight เนื่องจากธนาคารกลางยุโรปมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง, ภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มดี รวมถึงปัจจัยด้านราคาที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (สําหรับหุ้นในกลุ่มธนาคารยุโรป ให้น้ำหนักการลงทุนที่ Neutral สาเหตุจากราคาของหุ้นธนาคารยุโรปสะท้อนการเติบโตของกำไรไปมากแล้ว และธนาคารกลางยุโรปเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย)
กองทุนแนะนำ : MEURO
ตลาดหุ้นจีน ในไตรมาส 3 ปี 2567 คาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ (sideway) ตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาบ่งชี้ความไม่ชัดเจนของการฟื้นตัว ทั้งภาคผลิตและภาคบริโภค ในขณะที่ภาครัฐบาลประกาศนโยบายสนับสนุนภาคอสังหาฯ และมาตรการด้านตลาดทุน มุมมองการลงทุนระยะสั้นและยาว ให้น้ำหนัก Neutral โดยมีปัจจัยสนับสนุนคือ Valuation ของตลาดหุ้นจีนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และ Bloomberg Consensus ปรับการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีน (GDP) ในปี 2567 ขึ้นเป็น 4.9%
ตลาดหุ้นอินเดีย ในไตรมาส 3 ปี 2567 คาดยังเคลื่อนไหวในแนว Sideways up นักลงทุนยังเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของอินเดีย ตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ปีงบประมาณ 2024 (เดือนม.ค. – มี.ค.) โต 7.8% YoY ด้านผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใน Nifty 50 พบว่ารายได้และกำไรเติบโต 7% และ 12.59% ในไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2024
“มุมมองการลงทุนระยะสั้นและยาวให้น้ำหนัก Overweight โดยมีปัจจัยสนับสนุนได้ 1) เศรษฐกิจอินเดียเติบโตในอัตราที่สูง 2) อัตราการเติบโตของกำไรอยู่ในระดับสูง 3) ภาครัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนการลงทุนในดินเดีย โดยมีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าอินเดียอย่างต่อเนื่อง 4) นักลงทุนในประเทศยังคงทยอยลงทุนหุ้นอินเดียผ่าน Systematic Investment Plans (SIP) อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความเสี่ยงที่ต้องคอยติดตาม ได้แก่ 1) Valuation ของหุ้นอินเดียอยู่ในระบสูง โดย Forward P/E อยู่ที่ 20 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 18 เท่า 2) เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงและอยู่เหนือเป้าหมายของธนาคารกลาง อย่างไรก็ดีเงินเฟ้อทยอยตัวลดลง”
ด้านตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ ระยะสั้นปรับน้ำหนักการลงทุน Overweight และ ระยะยาวคง Overweight อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีโอกาสปรับลงได้ในระยะยาว โดยอายุ 10 ปีคาดที่ระดับ 4.0 % จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังชะลอลงได้ตลาดแรงงานเริ่มชะลอ ส่งผลให้เฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยได้เป็นจังหวะทยอยสะสม โดยเฉพาะตราสารหนี้สหรัฐฯคุณภาพสูง มี Carry Yield สูง 5% ในกลุ่ม Agency MBS ที่ให้ Yield 5.1% ซึ่งมี credit rating AA1 และ หุ้นกู้เอกชนคุณภาพสูงสหรัฐฯ (IG) 5.46% ในขณะที่ Credit Spread ยังแคบลงต่อได้หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอ ส่งผลบวกต่อราคาตราสาร
ตลาดตราสารหนี้จีน มุมมองการลงทุนระยะสั้นและยาวให้น้ำหนัก Neutral ได้ปัจจัยหนุน รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จีนมากขึ้น นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่องจาก PBOC เพื่อช่วยช่ กระตุ้นเศรษฐกิจจีน และปัจจัยภายนอก การปรับลดดอกเบี้ยเฟด ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดตราสารหนี้จีน โดยหุ้นกู้เอกชนคุณภาพสูง (IG USD-offshore bond) ให้ Yield สูงน่าสนใจ 5% แต่ยังระมัดระวังกลุ่ม HY ที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนได้
ทองคำ ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (All-Time High) ในไตรมาส 2 ที่ระดับ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยเอานซ์ในเดือน พ.ค. ก่อนที่จะปรับตัวลงมาอยู่ที่บริเวณ 2,325 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยเอานซ์ ณ สิ้นดือนมิ.ย. โดยถูกกดดันจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น
“เรามองราคาทองคำเป้าหมายระยะยาว อีก 1 ปีข้างหน้า ที่ระดับ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อทรอยเอานซ์ โดยราคาทองคำได้แรงหนุนจากการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก พื่อเป็นทุนสำรอง เพื่อกระจายความเสี่ยงจากทุนสำรองระหว่างประเทศที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ซึ่งหากอ้างอิงข้อมูลจาก สภาทองคำโลก (WGC) จะเห็นว่า ในช่วงช่ 2 ปีที่ผ่านมาธนาคารกลางทั่วโลก ทั่ มีการเข้าซื้อทองคำสุทธิทะลุกว่า 1,000 ตัน ต่อปี เราให้น้ำหนักการลงทุนทองคำระยะยาว 6-12 เดือน เป็น Overweight”
น้ำมันดิบ มองว่าปัจจุบันมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นได้โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัสขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ออกไปจนถึงปี 2568 แต่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐเพิ่มพิ่ ขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรล สวนทางกับนักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.9 ล้านบาร์เรล จึงสร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันได้ดังนั้นเราให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดน้ำมันทั้งระยะทั้งสั้น (0-6 เดือน) และระยะยาว (6-12 เดือน) เป็น Neutral
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก คาดเคลื่อนไหว sideway up โดยระยะสั้นสั้ ยังผันผวนตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เคลื่อนไหวในกรอบจากความไม่แน่นอนของช่วงเวลาการปรับลดดอกเบี้ยสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม Global REITs ได้ปัจจัยหนุนจากมุมมองดอกเบี้ยสหรัฐฯ สิ้นสุดการปรับขึ้นดอกเบี้ย และคาดจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งตามสถิติดัชนี Global REITs มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นประมาณ 10-15% ในช่วง 26 สัปดาห์ก่อนและหลังการปรับลดดอกเบี้ย และปัจจัยราคายังไม่แพง ทำให้เป็นจังหวะทยอยลงทุน Global REITS ได้จึงให้น้ำหนักระยะสั้นและยาว Overweight
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยและสิงคโปร์ ได้ปัจจัยหนุนจากอัตราการจ่ายปันผลที่สูงน่าสนใจและปัจจัยราคาที่ปรับลงมามาก ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานอัตราการเช่าช่ ฟื้นตัวและกลับมาจ่ายอัตราปันผลได้รวมทั้งการ ทั้งการเติบโตของสินทรัพย์ในกองทุน สำหรับ Singapore REITS ให้ Yield เฉลี่ย 6% และมี Price/Book ที่ระดับ 0.84 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี สำหรับ THAI REITs ให้ Yield เฉลี่ยสูงถึง 10% และปัจจัยราคาปรับลงมามาก มี Price/Book ที่ระดับ 0.70 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นตลาดเปราะบางจาก market sentiment