โบรกฯ มองต่างมุม หุ้นรีบาวด์-ร่วงตามต่างประเทศ

โบรกฯ มองต่างมุม “บล.กรุงศรี-โนมูระ พัฒนสิน” คาดหุ้นรีบาวด์หลังร่วง 3 วันติด ชี้การขึ้นของดัชนีจำกัด เหตุปัจจัยนอกยังรุมเร้า ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส-บล.ไอร่า มองหุ้นส่อลงตามต่างประเทศ

บล.กรุงศรี มองแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวหรือเกิด Technical rebound หลังจากที่ลดลงแรงในช่วง 3 วันก่อนหน้า อย่างไรก็ตามคาดการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากตลาดยังถูกกดดันจากหลายปัจจัยลบที่ยังต้องรอความชัดเจน อาทิ ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับซาอุฯที่อาจจะรุนแรงขึ้นหลังซาอุฯประกาศว่านักข่าวที่หายตัวไปซึ่งเป็นชนวนเหตุของความขัดแย้งได้เสียชีวิตแล้ว เช่นเดียวกับความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและรัสเซียที่อาจตึงเครียดมากขึ้นหลังจาก โดนัลทรัมป์ ประกาศจะสั่งให้สหรัฐถอนตัวออกจากสนธิสัญญานิวเคลียร์ที่เคยทำไว้กับรัสเซียเมื่อช่วงสงครามเย็น ประกอบกับเชื่อว่านักลงทุนจะยังระมัดระวังการลงทุนเนื่องจากวันพรุ่งนี้ตลาดหุ้นไทยจะปิดทำการอีกครั้งเนื่องในวันปิยะมหาราช

บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) คาดตลาด “รีบาวด์” แนวต้าน 1,680/1,684 จุด แนวรับ 1,664/1,654 จุด รับดาวโจนส์ฟื้นตัว รับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในประเทศโตดี สอดคล้องกับแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่ม Real Sector ในไทย ซึ่ง 103 บริษัทที่มีคาดการณ์จาก Cons คาดกำไรสุทธิรวมที่ 1.55 แสนล้านบาท เติบโต +35.1%y-y +20.5%q-q คาดหนุนไทยฟื้นตัวตามได้ โดยมี Sentiment บวกเพิ่มเติมจากการที่ Moody ปรับ Credit Rating อิตาลีลง 1 ระดับ สู่ Baa3 แต่ไม่ได้ปรับลดสู่ Junk น่าจะหนุนตลาดยุโรปและอิตาลีฟื้นขึ้นได้

สำหรับวันนี้แนะนำ Theme “Energy Play” : PTT, GULF, BGRIM

บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาด SET Index ยังคงถูกกดดันจากบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเป็นลบและยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ รวมถึงยังถูกกดดันจากกระแสเงินทุนที่อยู่ในทิศทางไหลออก โดยประเด็นงบประมาณของอิตาลีล่าสุด EU ได้ส่งจดหมายให้อิตาลีชี้แจงประเด็นการงบประมาณขาดดุลและภาระหนี้ที่ไม่ได้ลดลงตามกฎของ EU ภายในวันนี้ ขณะที่ฝั่งบ้านเราต้องจับตาดูการประกาศผลประกอบการ 3Q18 ของฝั่ง Real Sector ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า เรายังมองว่าหุ้นในกลุ่ม Domestic และ Defensive Play จะยังเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาด

บล.ไอร่า มองทิศทางดัชนีวันนี้คาดมีโอกาสปรับลดลงตามทิศทางเดียวกับต่างประเทศ แม้ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่ภายใต้ Sentiment ที่เป็นลบ แม้จะเป็นปัจจัยเดิม แต่คาดกลับมามีน้ำหนักเพิ่มขึ้น (1) การส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะความกังวลต่อการเร่งพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดหมายไว้ จากตัวเลขเงินเฟ้อ และ Bond Yield ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (2) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน วงเงินเพิ่มอีกประมาณ 267,000 ล้านUSD (หลัง ก.ค. – ก.ย. เรียกเก็บรวม 250,000 ล้านUSD และจีนตอบโต้กลับ จำนวนรวม 110,000 ล้านUSD) คาดในครั้งนี้จีนอาจใช้มาตรการอื่นๆ ตอบโต้สหรัฐฯ กลับ ขณะที่การเจรจาเพื่อลดข้อพิพาทยังไม่มีความคืบหน้า และ (3) ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และซาอุฯ

อย่างไรก็ตามยังแนะติดตามค่าเงินบาทที่คาดยังมีความผันผวนตามกลุ่ม Emerging Market ภายใต้ความกังวล (1) ขาดดุลการค้าและบัญชีเดินสะพัด (2) ภาระหนี้ต่างประเทศ และ (3) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ

ทางด้านประเด็นในประเทศ อยู่ในช่วงการประกาศผลประกอบการ 3Q/61 คาดมีแรงเก็งกำไรต่อเนื่องกลางเดือนพ.ย. ส่วน Fund Flow ต่างชาติกลับมาขายสุทธิต่อเนื่อง พร้อมกับ YTD ขายสุทธิสะสม เกือบ 260,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามคาดได้รับการชดเชยจากแรงซื้อสุทธิของสถาบันในประเทศ ภายใต้เม็ดเงินจาก LTF ที่คาดทยอยเข้ามาในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี คาดไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท พร้อมคาดบางส่วนพักตัวอยู่ในตลาดพันธบัตร