HoonSmart.com>>โพลนักวิเคราะห์-ผู้จัดการกองทุนแนะจัดพอร์ตลงหุ้นไทย 27.39% คาดดัชนีไตรมาส 2 เฉลี่ย 1,642 ส่วนสิ้นปีชี้เป้า 1,707 ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อน 34 จุด ลุ้นขึ้นไปสูงสุด 1,721 ต่ำสุด 1,508 ลดเป้ากำไรต่อหุ้นปีนี้เหลือ 95.77 บาทจากครั้งก่อนคาดไว้ 105.34 บาท แนะนำ 5 หุ้นเด่น ADVANC-AMATA-AOT-BBL-CPALL หลีกเลี่ยงหุ้นที่วิ่งขึ้นมากว่า 1,000% หุ้น”เดลต้าฯ(DELTA)”เป็นผู้ร้ายถูกถล่มยับ ดิ่ง 15% ปิด 970 บาท กระทืบดัชนีเละ 17 จุด ได้พลังงานเป็นพระเอก โอเปกเซอร์ไพรส์หั่นกำลังการผลิตน้ำมันมากกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน หนุนราคาน้ำมันขาขึ้น
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 บริษัท ประมาณ 50% มองดัชนีในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มไปในทิศทางบวก คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 1,642 จุด ปัจจัยที่ควรจับตามอง ส่วนใหญ่มองว่าการเลือกตั้ง และการจัดการของเฟดต่อปัญหาสถาบันการเงินและนโยบายดอกเบี้ย
ส่วนคาดการณ์เป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,707 จุด ลดลง 34 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน อยู่ที่ 1,741 จุด คาดจุดสูงสุดเฉลี่ยที่ระดับ 1,721 จุด จากผู้ตอบแบบสอบถาม 50% ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,701 – 1,800 จุด รองลงมาผู้ตอบ 40.91% ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,601 – 1,700 และผู้ตอบ 9.09% มองว่า จุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,801 – 1,900 ตามลำดับ ส่วนจุดต่ำสุดของปีเฉลี่ย 1,508 จุด และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS)ของตลาดเฉลี่ยที่ 95.77 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 105.34 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 13.02% ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในช่วงเม.ย.ถึงสิ้นปี มีนักวิเคราะห์ถึง 61.54% ที่คาดว่าจะคงที่ ส่วนที่เหลือ 38.46% ที่มองว่าปรับขึ้นอีก 0.25%
สำหรับการจัดพอร์ต นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนแนะนำให้มีเงินสด / เงินฝากระยะสั้น 18.63% ของพอร์ต มีกองทุนตราสารหนี้ 14.06% ส่วนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงนั้น แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนไว้ในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 27.39% รองลงมา ลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 22.92% ตามมาด้วย ทองคำ 8.63% และกองทุนอสังหา/REIT 7.31% และสินทรัพย์อื่นๆ 1.06%
ทั้งนี้ความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศ / กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นจีน และเอเชีย จากการเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาปกติอีกครั้ง
ส่วนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจค้าปลีก การท่องเที่ยว เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ขณะที่ให้ลดน้ำหนักกนอนแบงก์ ปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค
นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป ได้แก่1. ADVANC คาดผลประกอบการปีนี้กลับมาเติบโต 2. AMATA กำไรจะเติบโตได้ดีในปี 2566 3. AOT ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวเข้ามาต่อเนื่อง หนุนกำไร และยังมีแผนการขยายสนามบินในอนาคต 4. BBL รับประโยชน์สุงสุดจากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้น สินเชื่อโตต่อเนื่องตามภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 5. CPALL การบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว การขยายสาขาหนุนกำไรปีนี้โตต่อเนื่อง
ด้านตลาดหุ้นวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลง ขณะที่หลายตลาดในภูมิภาคเพิ่มขึ้น ดัชนีปิดที่ระดับ 1,600.37 จุด ลดลง 8.80 จุด หรือ -0.55% มูลค่าซื้อขาย 46,785.79 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิ 1,317 ล้านบาท ด้านนักลงทุนไทยขาย 1,953 ล้านบาท และสถาบันขายสุทธิ 266 ล้านบาท นำโดยหุ้น DELTA ดิ่งลงแรง 172 บาทหรือ -15.06% ปิดที่ 970 บาท ส่วนหุ้นแบงก์และพลังงานปรับตัวขึ้นโดดเด่น นำโดย PTTEP ปิดที่ 159.50 บาท บวก 9 บาทหรือ
+5.98% BCP บวก 6.45%
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวลงสวนทางตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดในยุโรปส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวกกัน ทั้งนี้ตลาดได้รับแรงกดดันจากหุ้น DELTA ซึ่งมีผลต่อดัชนีราว 17 จุด หากไม่นับ DELTA ดัชนีฯจะสามารถบวกได้
ทั้งนี้ ตลาดได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น จากโอเปกเซอร์ไพรส์ปรับลดกำลังการผลิตมากกว่า 1 ล้านบาทร์เรล/วัน โดยล่าสุดราคาน้ำมันฟิวเจอร์สปรับตัวขึ้นเกือบ 6% มาแถว 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (WTI)
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (4 เม.ย.) ตลาดมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้หากหุ้น DELTA สามารถยืนได้ แต่คงจะไปได้ไม่ไกล เนื่องจากในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้จะมีวันหยุดหลายวัน ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะชะลอการลงทุน พร้อมให้แนวรับ 1,590-1,595 จุด ส่วนแนวต้าน 1,615-1,620 จุด