NER กำไรปี65 กว่า 1,748 ล้านบ.ปันผลอีก 31สต.เพิ่มกำลังผลิต 172,800 ตัน

HoonSmart.com>>นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ชูผลงานปี 65 กวาดกำไร 1,748 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผล  0.31 บาท/หุ้น บริษัทตั้งเป้าหมายปี 66 ปริมาณขายรวม 5 แสนตัน รายได้ราว 3 หมื่นล้านบาท ออเดอร์เพิ่มขึ้น เตรียมงบลงทุนสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 กำลังการผลิต 172,800 ตัน คาดว่าแล้วเสร็จใน Q1/67

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER)  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 1,748.00 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.94% รายได้จากการขายสินค้า 25,172.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 746.40 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 3.06% เมื่อเทียบกับปี 2564  ราคาขายสินค้ายางเฉลี่ยสูงขึ้น 4.52% มีต้นทุนอยู่ที่ 22,116.16 ล้านบาทหรือคิดเป็น 87.86% ของรายได้จากการขาย

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติการจ่ายเงินปันผลอีกหุ้นละ 0.31 บาท คิดเป็นเงิน 572.81 ล้านบาทกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 21เม.ย. 2566 และกำหนดจ่ายเงินในวันที่ 9 พ.ค.2566หลังจากจ่ายระหว่างกาลแล้วหุ้นละ 0.07 บาท เป็นเงิน 129.34 บาท รวมทั้งปีแจกปันผลหุ้นละ  0.38 บาท  เป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 702.16 ล้านบาท  คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 40.17% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย

สำหรับปี 2566 บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายรวมที่ 5 แสนตัน คิดเป็นรายได้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเปิดประเทศโดยเฉพาะจีน และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการขยายตลาดกลุ่มลูกค้าประเทศต่างๆรวมถึงอินเดียเพิ่มขึ้น  ปัจจุบันบริษัทมีการเซ็นสัญญากลุ่มลูกค้าใหม่ทั้งในจีน สิงคโปร์ อินเดีย และในไทย เพิ่มขึ้นอีกหลายราย

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการขยายกำลังการผลิตสินค้าประเภทยางแท่งและยางแท่งผสม โดยการลงทุนก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 กำลังการผลิต 172,800 ตัน ใช้งบลงทุนประมาณ 700 ล้านบาทคาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2567 ทำให้บริษัทจะมีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งสิ้น 688,400 ตันต่อปี

ด้านธุรกิจสินค้าสำเร็จรูป (สินค้าปลายน้ำ) บริษัทมีแผนการทำการตลาด โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาสินค้าสำเร็จรูป ต่างๆ ที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบหลักให้เป็นที่ต้องการของตลาด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าอย่างต่อเนื่อง  ทำให้สัดส่วนยอดขายสินค้าปลายน้ำจะเติบโตขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มสินค้าสำเร็จรูปที่ใช้ส่วนผสมของยางพาราเป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทในระยะยาว