HoonSmart.com>> “เจ. พี. มอร์แกน“เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย ให้เป้าดัชนีสิ้นปี 1,800 จุด คาดก่อนเลือกตั้ง 3 เดือน กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม และพาณิชย์ชนะตลาดรวม ด้าน บล.เครดิต สวิส ชี้เป้า 1,870 จุด ยกกลุ่มแบงก์-อุปโภคบริโภค ส่วนหุ้นท่องเที่ยว-การแพทย์รอราคาย่อ จับตาต่างชาติชะลอลงทุนก่อนเลือกตั้ง 3 เดือน ดูโฉมหน้ารัฐบาล-นโยบาย บล.โนมูระพัฒนสินชี้เป้าดัชนี 1,800 จุด นักท่องเที่ยวจีนแห่เข้าไทย 28 ล้านรายหนุน AAV, AOT, SPA, NER, CBG, SISB, SCGP, AP, CPALL, CRC, MAKRO, AMATA ด้านต่างชาติเริ่มขายตราสารหนี้ 8,327 ล้านบาท
นายอาจดนัย มาร์โค สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ประจำประเทศไทย บล. เจ. พี. มอร์แกน กล่าวว่า จีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดการณ์เป็นปัจจัยเร่งสำคัญต่อขาขึ้นของตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาทั้งสิ้น 26 ล้านคน สูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 25 ล้านคน จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมูลค่า 39,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ สูงขึ้นเป็นสองเท่าจากปี 2565 คิดเป็นสัดส่วน 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี)
นายจักรพันธ์ พรพรรณรัตน์ หัวหน้าสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บล.เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) กล่าวว่า โครงการ “ช้อปดีมีคืน” ยังจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในระยะสั้น รวมถึงการใช้จ่ายของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งในขณะนี้ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่างมาก
ทั้งนี้ เจ. พี. มอร์แกน มีเป้าหมายพื้นฐานที่ 590 สำหรับดัชนี MSCI Thailand และ 1,800 สำหรับดัชนี SETในปี 2566 โดยเพิ่มน้ำหนักในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต สินค้าฟุ่มเฟือย และการดูแลรักษาสุขภาพ เชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนน่าจะกลับมาในครึ่งปีแรก นอกจากนี้เงินเฟ้อที่ชะลอลงจากราคาพลังงานที่ลดลง และการเติบโตของค่าจ้างที่ไม่สูงมากจนเกินไป ส่งให้กำไรของธุรกิจไทยปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่า ธปท.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกสองครั้งๆละ 0.25%มาอยู่ที่ 1.75% ในไตรมาสแรก ทำให้เงินเฟ้อลดลงมาอยู่ที่ 3.3%จากระดับ 6.3% ในปี 2565
“ต้นทุนด้านราคาที่ต่ำลง จะส่งผลบวกอย่างยิ่งแก่ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจด้านสาธารณูปโภค ส่วนเงินบาทแข็งค่าขึ้น น่าจะเพิ่มผลตอบแทนในหุ้น ช่วยให้บัญชีเดินสะพัดเกินดุล ควบคู่กับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในปีนี้”
ส่วนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพ.ค.นี้ น่าจะสร้างแรงหนุนในระยะสั้นแก่ตลาดหุ้น จากการวิเคราะห์ในอดีต ค่ากลางผลตอบแทนในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง 12 ครั้งที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 5% โดยหมวดอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม และการพาณิชย์มีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่าตลาดรวม แต่ผลบวกนี้น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในระยะปานกลาง
ด้านนายวิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ Vice President Investment Consultant บล.เครดิต สวิส (ประเทศไทย) กล่าวว่า มองเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 1,870 จุด มีอัพไซด์จากสิ้นปีก่อนราว 12% แม้ว่า P/E ในปัจจุบัน 15-16 เท่าจะไม่ได้ถูก แต่จะได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจฟื้นตัว กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเห็นทิศทางที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคและการท่องที่ยว รวมถึงเงินบาทกลับมาแข็งค่าค่อนข้างเร็วที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ บนความคาดหวังดุลบัญชีเดินสะพัดจะดีขึ้น และแรงกดดันด้านราคาน้ำมันเริ่มผ่อนคลายลง ทำให้มีเงินไหลเข้ามาในตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นส่วนใหญ่ และตลาดหุ้นอีกบางส่วน โดยรวมปีนี้คาดว่าต่างชาติมียอดซื้อสุทธิหุ้นไทยได้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติจับตาปัจจัยการเมืองไทยที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งในปี 2566 รอดูการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายผลักดันเศรษฐกิจ ทั้งด้านการลงทุน และการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นหลังจากผ่านการเลือกตั้ง จากสถิติในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา 3 ครั้ง พบว่าในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง หุ้นไทยค่อนข้าง Underperform ตลาดหุ้นเอเชีย เพราะนักลงทุนจะชะลอการลงทุน หลังจากนั้นจะค่อยๆกลับมา เมื่อปัจจัยทางการเมืองมีความชัดเจน และมีนโยบายบวกอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ทาง เครดิต สวิส มองว่า จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเกิดความผันผวนได้ในระยะสั้น
สำหรับธีมการลงทุนในปีนี้ บล.เครดิต สวิส ให้น้ำหนักกลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากการบริโภคที่ฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่มอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศ และนักท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวและสุขภาพ ให้น้ำหนักรองลงมา เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว
บล.โนมูระ พัฒนสินให้เป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ระดับ 1,800 จุด หลังจากจีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจีนคาดเติบโต 5.5%(จาก Base Case ที่ 4.8%) และไทยขยายตัว 3.8% กรณี Best Case เติบโตได้ +4.4% (นักท่องเที่ยวจีนกรณี Base Case อยู่ที่ 5.5 ล้านคน ส่วน Best Case อยู่ที่ 7.5 ล้านคน) เห็นรอบการปรับเพิ่มกำไรระยะถัดไป ภายใต้คาดการณ์ปัจจุบันที่ 105 บาทต่อหุ้น อิงสมมติฐานอนุรักษ์นิยม รวมผลบวกกำไรส่วนเพิ่มจากหุ้นในกลุ่มที่มีฐานลูกค้าจีนโดยตรงเท่านั้น พบว่าทุกๆ นักท่องเที่ยวจีนที่สูงกว่าสมมติฐาน 1.5 ล้านคน จะเพิ่มกำไรปีนี้ ราว 2,110 ล้านบาท เท่ากับกำไรตลาดต่อหุ้นราว 0.2 บาท โดยไม่รวมผลประโยชน์ทางอ้อมอีกหลายส่วน
กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าจีนทางตรงสัดส่วนสูง อาทิ กลุ่มท่องเที่ยว+การบิน (3%-55% ของรายได้รวม) กลุ่มเกษตร – อาหาร (10%-15%) กลุ่มชิ้นส่วนฯ (15%-21%) กลุ่มโรงเรียน (12%) กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง (6%) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (1%-23%) กลุ่มร้านอาหาร+เครื่องดื่ม (3%-9%) (กลุ่มค้าปลีก (1%-4%) กลุ่ม ร.พ. (2%-3%) กลุ่มนิคม (12%-30% ของพอร์ตลูกค้า)
ส่วนอุตสาหกรรมที่คาดได้ประโยชน์ทางอ้อมจากเศรษฐกิจจีน/ในประเทศดีขึ้น คือ กลุ่มธนาคาร กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มร้านอาหาร-เครื่องดื่มอื่นๆ กลุ่มพลังงาน
แนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาในระดับสูงกว่าคาด เชื่อว่าจะเปิด Upside กำไรตลาดปีนี้เพิ่มมากขึ้น ผสานอานิสงส์0ากประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งจะมีเม็ดเงินสะพัด หนุนเศรษฐกิจ ทีมกลยุทธ์เชื่อว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1700 จุดได้ และหลังจากนั้นจะค่อยๆแกว่งตัวขึ้นสู่ดัชนีเป้าหมายปลายปีที่ 1800จุด (อิงERP ที่ 3.06%) มองหุ้นเด่น ได้แก่ AAV, AOT, SPA, NER, CBG, SISB, SCGP, AP, CPALL, CRC, MAKRO, AMATA
ตลาดหุ้นวันที่ 17 ม.ค.2566 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,681.04 จุด ลดลง 3.82 จุด หรือ -0.23% มูลค่าซื้อขาย 54,483.85 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 808.29 ล้านบาท ส่วนสถาบันไทยขายสุทธิ 1,811.13 ล้านบาท ด้านตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายสุทธิ 8,327 ล้านบาทเงินบาทพลิกอ่อนค่าปิดที่ 33.09/10
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ หลังจากที่ตลาดสหรัฐปิดทำการเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ทำให้ขาดตัวชี้นำ นักลงทุนชะลอการลงทุนในช่วงรอดูผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และรอดูการทยอยประกาศผลประกอบกาของกลุ่มธนาคาร
ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงเล็กน้อย และจีนยังเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อยู่ พร้อมให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของยุโรปที่จะออกมาในช่วงปลายสัปดาห์นี้
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ (18 ม.ค.) ทิศทางตลาดขึ้นอยู่กับผลประชุม BOJ โดยให้แนวรับ 1,680 ถัดไป 1,670-1,675 จุด แนวต้าน 1,695 จุด