HoonSmart.com>> “เบทาโกร” เปิดผลงานไตรมาส 3/65 กวาดรายได้รวม 29,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จากไตรมาส 2/65 และ 49.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน หนุนกำไรสุทธิ 2,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาส 2/65 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 8.1% ชี้อัตรากำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนงวด 9 เดือนปีนี้ กำไรทะลุ 6,299 ล้านบาท เติบโตทุกกลุ่มธุรกิจหลัก มั่นใจผลงานทั้งปีเติบโตแข็งแกร่ง ตอกย้ำศักยภาพหุ้นปัจจัยพื้นฐานแกร่ง
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร (BTG) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 เบทาโกรสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและโดดเด่น โดยมีรายได้รวม 29,690.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จากไตรมาส 2/65 และ 49.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,407.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.0% จากไตรมาส 2/65 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 8.1% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก -6.3% 4.2% 7.5% และ 6.6% ในช่วง 4 ไตรมาสก่อนหน้าตามลำดับ ส่งผลให้ภาพรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม – กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 83,825.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และหนุนกำไรสุทธิเติบโตสู่ระดับ 6,299.6 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็น 7.5% จาก -0.1% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจัยสำคัญมาจากการเติบโตของยอดขายจากทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ตามปริมาณการขายและราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น ดังนี้ 1) กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตก้าวกระโดด จากปริมาณการขายและราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ อาหารแปรรูป และเนื้อสัตว์แปรรูป ทั้งในประเทศและตลาดส่งออก2) กลุ่มธุรกิจเกษตร มีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ตามการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบหลัก เช่น กากถั่วเหลือง
3) กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ ได้รับผลดีจากการเพิ่มขึ้นของราคาขายของอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์อาหาร โดยเฉพาะตลาดในประเทศกัมพูชาและลาวที่มีการขยายตัวอย่างมาก 4) กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง เป็นการเพิ่มขึ้นทั้งราคาและปริมาณการขายอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิต และการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่มีราคาขายสูงขึ้น ตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 เบทาโกร มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 68% ของรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการ ส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจเกษตร กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ และกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ประมาณ 25%, 5% และ 2% ตามลำดับ
นอกจากนี้ เบทาโกรสามารถสร้างการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นรายไตรมาสให้สูงขึ้นได้อย่างต่อเนื่องจาก 9.7% (ไตรมาส 3/64) 11.2% (ไตรมาส 4/64) 17.9% (ไตรมาส 1/65) 19.6% (ไตรมาส 2/65) มาอยู่ที่ 21.2% ในไตรมาส 3/65 ขณะเดียวกัน มีอัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ที่ 19.7% เพิ่มขึ้นจาก 13.8% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่มุ่งเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมรับประทาน รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมขบเคี้ยวสำหรับสัตว์เลี้ยง
การให้ความสำคัญกับช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีกำลังซื้อสูง ภายใต้ช่องทางของแบรนด์เบทาโกร ผู้ให้บริการด้านอาหาร (Food Service) และช่องทางค้าปลีกแบบสมัยใหม่ ตลอดจนความสามารถในการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้บริษัทยังมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายและในการบริหารต่อรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 13.5%
นายวสิษฐ กล่าวเสริมว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสร้างการเติบโตของผลการดำเนินงานได้อย่างแข็งแกร่ง จากกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนประโยชน์ที่ได้รับจากราคาเนื้อสัตว์ที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงไปอีกอย่างน้อย 1–2 ปี ประกอบกับความสามารถของเบทาโกรที่มุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์อาหารและช่องทางจัดจำหน่ายที่มีมูลค่าสูง ตลอดจนความสามารถในการควบคุมต้นทุนราคาวัตถุดิบด้วยระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และการมุ่งเน้นสินค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีนที่ได้อัตรากำไรที่ดีกว่า เพื่อลดผลกระทบของอัตรากำไรจากความผันผวนของราคาเนื้อสัตว์
“ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แผนสร้างการเติบโตที่ชัดเจนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และความสามารถในการแข่งขันของเบทาโกร ซึ่งมุ่งเน้นในการเป็น World-Class Branded Food Company ผ่านการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ BTG เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีคุณภาพเพราะปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตลอดจน มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว” นายวสิษฐ กล่าว