TU ออลไทม์ไฮ Q3/65 ฟาดกำไร 2,530 ลบ. โต 31%

HoonSmart.com>>”ไทยยูเนี่ยนฯ”ยืนหนึ่งทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ไตรมาส 3/65 กวาดกำไร  2,530 ล้านบาท โต 30.7% ยอดขาย 40,756 ล้านบาท เพิ่ม  14.7% จากธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง ได้กำไรอัตราแลกเปลี่ยน ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง-ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าโตอย่างมีนัยสำคัญ  หนุนกำไรขั้นต้นโต สวนทางอัตราเงินเฟ้อสูง ราคาวัตถุดิบเพิ่ม  เดินหน้าลงทุนสร้าง 3 โรงงานรองรับการเติบโต

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) รายงานผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 3/2565 มีกำไรสุทธิ  2,530.48  ล้านบาท เท่ากับ 0.53 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,936.79 ล้านบาทหรือ 0.40 บาท โดยรวมกำไรสุทธิ 5,899.84 ล้านบาท หรือ 1.22 บาทต่อหุ้น ลดลงจากที่มีกำไรสุทธิ 6,082.55 ล้านบาท เท่ากับ 1.26 บาทในช่วงเดียวกันปีก่อน

“ไทยยูเนี่ยนยืนหนึ่งสร้างปรากฏการณ์สองไตรมาสซ้อน ทุบสถิติทำกำไรสุทธิไตรมาสสูงสุดเติบโต 30.7% ยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 40,756 ล้านบาท เติบโต 14.7% ธุรกิจหลักแข็งแกร่ง เน้นกลยุทธ์หลากหลายสร้างการเติบโต  ยอดขายจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่นๆ เพิ่มขึ้น 55.9% แม้จะมีแรงกดดันในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่ยังส่งผลอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาคที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ แต่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี ผ่านการเจรจาต่อรองด้านราคากับลูกค้า มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงทั้งในด้านวัตถุดิบหลักและอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ”

บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ความหลากหลายของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนอัตราการทำกำไรที่สูง  มียอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องอยู่ที่ 16,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6%จากกำลังซื้อที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นยังคงที่อยู่ในระดับใกล้เคียงจากปีที่แล้ว อยู่ที่ 14,820 ล้านบาทโดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้ยอดเยี่ยม โดยมียอดขายอยู่ที่ 8,951 ล้านบาท เติบโต 55.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการที่สูง ราคาขายที่เพิ่มขึ้น และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3  สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการผลักดันอย่างต่อเนื่องให้ธุรกิจมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเรื่องของนวัตกรรม และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี  ขายขายทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 115,974 ล้านบาท เติบโต 13.1% มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20,338 ล้านบาท เติบโต 8.7%  และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.5 %แม้ว่าราคาวัตถุดิบหลักมีการปรับราคาขึ้นก็ตาม โดยมียอดขายจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 42% ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น 37% และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ 21%

บริษัทมีการเตรียมการเพื่อการเติบโตและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างโรงงานใหม่รวม 3 โรง ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564  คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมดำเนินงานได้ในปี 2566  ทั้งนี้ โรงงาน 2 แห่งที่จังหวัดสมุทรสาคร ผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจนเปปไทด์ และผลิตอาหารพร้อมทาน นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างห้องเย็นเพื่อจัดเก็บปลาทูน่า พร้อมด้วยโรงบำบัดน้ำเสียในประเทศกาน่า รวมถึงกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและขนมกินเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงในจังหวัดสมุทรสาคร

“ไทยยูเนี่ยนมีกลยุทธ์ด้านความหลากหลายของธุรกิจ ที่ครอบคลุมทั้งในด้านของผลิตภัณฑ์และตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถผลิตสินค้าที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ตามเป้าหมายคือ Healthy Living, Healthy Oceans ที่มุ่งมั่นจะสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลทรัพยากรในท้องทะเล” นายธีรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย