ส่องหุ้นเดือนพ.ย.ลุ้นขึ้นได้ เชียร์ 12 หุ้นเด่น

HoonSmart.com>>โบรกฯส่องหุ้นไทยเดือนพ.ย.ผันผวน แต่มีโอกาสปรับขึ้นได้ จากปัจจัยบวกท่วมตลาด แต่ภาษีซื้อขายหุ้นยังเป็นประเด็นกดดันอยู่ ด้านนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลอดสัปดาห์สุดท้ายเดือนต.ค.รวม 8,464.45 ล้านบาท มองหุ้นเด่นเดือนพ.ย.  TLI, MINT, GFPT, SPALI, CPN, TISCO, LH, HMPRO, CENTEL, ERW, DELTA, NEX  ให้กรอบการเคลื่อนไหวดัชนีฯ 1,550-1,650 จุด บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีให้เป้าปลายปี 1,730

นักลงทุนต่างชาติโหมซื้อหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนต.ค. (25-28 ) รวม 8,464.45 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งเดือนต.ค.พลิกมียอดซื้อสุทธิ 4,484.25  ล้านบาท และรวมทั้งปี 2565(1ม.ค.-28 ต.ค.) ซื้อสุทธิ 154,719.84 ล้านบาท ทำให้ดัชนีปิดที่ระดับ 1,606.07 จุด  รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นแรง วันศุกร์ที่ 28 ต.ค. ดาวโจนส์ปิดพุ่ง  828 จุด จากความหวังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อชะลอตัวและการบริโภคของผู้บริโภคทรงตัว คาดว่าจะเป็นแรงส่งต่อตลาดหุ้นไทยในเดือนพ.ย.ที่จะถึงนี้

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นในเดือนพ.ย.คาดว่าจะผันผวน แต่ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปได้ หากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอยู่ในความคาดหมาย โดยเดือนพ.ย.คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% และเดือนธ.ค.ล่าสุดตลาดให้น้ำหนักปรับขึ้น 0.50% จากเดิมคาดจะขึ้น 0.75%  ให้จับตาเฟดจะแตะเบรกการขึ้นดอกเบี้ยได้หรือไม่ หากมีการแตะเบรกขึ้นดอกเบี้ยก็จะช่วยหนุนตลาดได้

นอกจากนี้ เดือนพ.ย.ราคาน้ำมันดิบคงจะฟื้นตัวขึ้น จากที่กลุ่มโอเปกจะลดกำลังการผลิตน้ำมัน 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าก็หนุนให้ราคาน้ำมันดีดขึ้นด้วย รวมถึงเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวความต้องการใช้น้ำมันมีมากขึ้น อีกทั้งในวันที่ 10 พ.ย. MSCI จะมีการประกาศการปรับน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย ซึ่งรอบนี้มีโอกาสที่จะเพิ่มน้ำหนักด้วย สามารถลุ้นแรงซื้อได้มากขึ้น

สำหรับปัจจัยในประเทศมีปัจจัยลบจากเรื่องการเก็บภาษีซื้อขายหุ้นที่ยังกดดันตลาดอยู่ แต่ตลาดเดือนพ.ย.ก็มีแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จะประกาศออกมาหมด คาดว่าจะดีขึ้น หลังจากที่เห็นงบกลุ่มธนาคารออกมาดี ส่วนใหญ่ก็จะทำให้งบฯของกลุ่ม Real Sector ดีไปด้วย นอกจากนี้ หลังการประชุมเอเปกภาครัฐน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น คนละครึ่งเฟส 6, ช้อปดีมีคืน หากออกมาก็จะหนุนการค้า การท่องเที่ยวได้

ส่วนเงินบาทน่าจะเริ่มแข็งค่าขึ้นได้ หลังจากอ่อนค่ามานานพอควร ตอนนี้อยู่แถว 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ  หลังการประชุมเฟดแล้ว เงินดอลลาร์สหรัฐคงจะอ่อนค่า และเงินบาทจะแข็งค่าจากจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยมากขึ้นในเดือนพ.ย.-ธ.ค. คาดว่าตกเดือนละ 1.5 ล้านคน คาดรวมทั้งปี 2565 ราว 9 ล้านคน ส่วนปี 2566 คาดเข้ามามากถึง 21 ล้านคน ซึ่งจะหนุนการบริโภคได้มากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัว อย่างไรก็ดียังต้องติดตามดูในวันที่ 30 พ.ย.นี้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องหรือไม่

นายกิติชาญกล่าวว่า หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในเดือนพ.ย.มองเป็นกลุ่มท่องเที่ยว, ค้าปลีก, ธนาคาร (ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นในปี 2566) และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการจ่ายเงินปันผลมาก และไตรมาส 4 จะมีการบันทึกกำไรมากสุดอยู่แล้ว จากยอดการโอนสูงขึ้น อีกทั้งได้ประโยชน์จากภาครัฐเปิดให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้ รวมถึงยังมี Valuation ถูกอยู่

“หุ้นเด่นในเดือนพ.ย.มองหุ้น TLI ราคาเป้าหมาย 21.20 บาท เล็งเข้า MSCI, MINT ราคาเป้าหมาย 38 บาท เข้าธีมท่องเที่ยว และมี Upside สูง, GFPT ราคาเป้าหมาย 20.40 บาท เก็งงบไตรมาส 3/65 จะออกมาดี, SPALI ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท และ CPN ราคาเป้าหมาย 79.25 บาท ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเดือนพ.ย.ให้กรอบการเคลื่อนไหวดัชนีฯมีแนวรับ 1,560 จุด แนวต้าน 1,630 จุด โดยเป้าหมายดัชนีฯปลายปีนี้มองไว้ที่ 1,730 จุด”นายกิติชาญกล่าว

ด้านนายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า  หุ้นไทยในเดือนพ.ย.ขึ้นอยู่กับผลประชุมเฟดในวันที่ 2 พ.ย.นี้ ถ้ามีการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะเป็นบวก  อีกทั้งต้องไม่ส่งสัญญาณที่เป็นลบด้วย ซึ่งตลาดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% แต่การประชุมครั้งต่อ ๆ ไป จะเป็นไปอย่างไร ต้องรอดูสัญญาณจากเฟด โดยตลาดคาดว่าเฟดน่าจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

สำหรับตลาดหุ้นคงจะเคลื่อนไหว Sideway Up & Down คงจะไม่ปรับตัวลงแรง เพราะมีแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากขึ้น  ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น อีกทั้งยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาในช่วงปลายปีด้วย รวมถึงเล็งผลบวกจากการประชุมเอเปก ซึ่งผู้นำจะมีการประชุมกันในวันที่ 18-19 พ.ย. แต่การปรับขึ้นของดัชนีฯจะขึ้นอยู่กับเฟดด้วย อย่างไรก็ดีต่างชาติยังมองตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ลงทุนแล้วปลอดภัย โดยกรอบเคลื่อนไหวในเดือนพ.ย.มองแนวรับ 1,550 จุด แนวต้าน 1,650 จุด

พร้อมแนะนำหุ้นที่น่าลงทุนเป็นหุ้นให้ปันผลสูง และให้”เล่นตามข่าว” เช่นการปรับน้ำหนักของ MSCI, ได้ผลดีหลังเกิดน้ำท่วม โดยมองหุ้นที่น่าสนใจ  TISCO, LH, HMPRO, CENTEL, ERW, DELTA, NEX

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในเดือนพ.ย.น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ดัชนีฯสามารถรปรับตัวขึ้นไปได้ในลักษณะเคลื่อนไหว Sideway ถึง Sideway Up ในกรอบแนวต้าน 1,630-1,650 จุด ส่วนแนวรับ 1,575-1,580 ถัดไป 1,550 จุด โดยมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐ และเงินดอลลาร์สหรัฐได้ผ่านจุดพีคไปแล้ว และนโยบายของเฟดน่าจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ในเดือนธ.ค.  หากเป็นจริงจะหนุนเม็ดเงินไหลเข้าตลาดได้ต่อเนื่อง อีกทั้งเดือนพ.ย.ยังมีแรงซื้อหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอยู่

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะหุ้นที่กำลังจะฟื้นตัวขึ้นได้ในไตรมาส 3-4/65 และเน้นเก็งกำไรหุ้นที่งบฯน่าจะออกมาดีทั้งไตรมาส 3-4