HoonSmart.com>> “เมืองไทย แคปปิตอล” ไม่หวั่นเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น พร้อมรับมือ เชื่อนโยบายคุมเพดานดอกเบี้ยไม่กระทบธุรกิจมั่นใจสามารถควบคุมระดับ NPL ปีนี้ไม่เกินระดับ 2.5% หลังประเมินครึ่งปีหลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซันธุรกิจฤดูการทำการเกษตร ผู้บริหารชี้ไตรมาส 3/65 แนวโน้มความต้องการสินเชื่อยังเติบโตได้ เดินหน้าขยายสาขา มั่นใจปีนี้พอร์ตสินเชื่อโตทะลุเป้า 30%
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังอยู่ในทิศทางที่ดี และเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แม้แนวโน้มของดอกเบี้ยที่กำลังเป็นขาขึ้น ว่าไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ โดยในส่วนของดอกเบี้ยจำนำทะเบียนรถที่ทางการกำหนดควบคุมเพดานไว้ที่ระดับ 24% แต่ MTC คิดดอกเบี้ยในอัตราเพียง 16% ซึ่งต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้มาก ต่อไปในอนาคตหากต้นทุนทางการเงิน หรือภาระอื่นๆ เพิ่มขึ้น จะทำให้บริษัทฯมีโอกาสในการปรับเพดานการคิดดอกเบี้ยขึ้นตามต้นทุนที่ขยับขึ้นไป
ส่วนประเด็นในเรื่องที่มีคู่แข่งมากขึ้นนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ MTC แต่อย่างใด เพราะปัจจุบันยังสามารถปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมาย 30% ทั้งจากลูกค้าเก่า และยังสามารถหาลูกค้าใหม่ได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งการแข่งขันและผู้เล่นรายใหม่ก็มีเข้ามาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าจะมีใครเข้ามาทำธุรกิจนี้เพิ่มอีก ไม่น่าใช่ประเด็นที่ต้องกังวลแต่ประการใด
สำหรับกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เตรียมจะประกาศนโยบายการควบคุมเพดานอัตราดอกเบี้ยในธุรกิจลิสซิ่ง หรือเช่าซื้อนั้น ปัจจุบันบริษัทฯมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 22-24% ซึ่งหากเทียบกับอัตราเพดานที่คาดว่าทางการกำหนดแล้ว มั่นใจว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ และเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯแต่ประการใด
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกรอบที่คุมระดับ NPL ประมาณ 2-2.5% เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังเป็นฤดูกาลไฮซีซันของธุรกิจสินเชื่อ โดยเฉพาะฤดูการทำเกษตรทำให้ความต้องการสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่มีปัจจัยสนับสนุนในเรื่องนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 จะช่วยเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระของลูกหนี้ รวมทั้งการปลดล็อกสถานการณ์โควิด-19 จะช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และอุปโภคบริโภคฟื้นตัว ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก
“ในช่วงไตรมาส 3/2565 ภาพรวมของความต้องการสินเชื่อยังเติบโตได้ดี และมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ขณะเดียวกันความสามารถในการผ่อนชำระลูกหนี้ ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้มั่นใจว่าพอร์ตสินเชื่อรวมปีนี้จะเติบโตประมาณ 30% จากปีก่อน ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะเดียวกันยังคงเดินหน้าขยายสาขา เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงแรกของปีนี้ มีจำนวนสาขาให้บริการทั้งหมด 6,475 สาขา รวมทั้งมีแผนขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย”นายชูชาติ กล่าว