HoonSmart.com>>บล.บัวหลวง เล็งตลาดหุ้นดีขึ้นในไตรมาส 4 เงินเฟ้อ-ราคาสินค้าโภคภัณฑ์-น้ำมันผ่านจุดพีคไปแล้ว มีโอกาส Rally ในไตรมาส 1/66 มองเป้าดัชนีปีนี้ 1,705 ปีหน้า 1,800 ต้น ๆ คาดบอนด์ยีลด์พีค 3.5% ในช่วงรอยต่อไตรมาส 3-4 ช่วงสั้นตลาดจะผันผวนก่อนประชุมเฟดเดือนก.ย. ครึ่งปีหลังเชียร์กลุ่มแบงก์, กลุ่มท่องเที่ยวคงจะต้องเทรดแพงไปสักระยะ, กลุ่มค้าปลีก Valuation ต่ำ แนะลดพอร์ตกลุ่มโลจิสติกส์-สินค้าโภคภัณฑ์
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดมีทิศทางที่ดีขึ้นในไตรมาส 4/65 ทำให้นักลงทุนอาจมีการปรับพอร์ตอีกที หลังจากที่กลัวเรื่องเงินเฟ้อสูง, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถ่วง และราคาน้ำมันได้ผ่านจุดพีคไปแล้ว หันไปมองภาคการลงทุนที่อาจจะ Outperform ได้ โดยจะเห็นทิศทางตลาดหุ้นมีการเทรดที่ดีขึ้น และมีโอกาสที่จะ Rally ได้ในไตรมาส 1/66 โดยปี 2565 มองเป้าดัชนีไว้ที่ 1,705 จุด และปี 2566 ดัชนีจะอยู่ที่ 1,800 จุดต้น ๆ ส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2565 คาดว่าจะเติบโต 9.2% กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 98.2 บาท ขณะที่ปี 2566 คาดว่ากำไรจะเติบโต 10.6% คิด EPS ที่ 107.4 บาท
“ไตรมาส 4/65 อาจเห็นสหรัฐปรับลดงบดุล ดูดเงินออกเร็วขึ้น ซึ่งทำให้เห็นชัดว่าเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายของเฟดที่จะยับยั้งไม่ให้เงินเฟ้อพุ่งต่อเนื่อง ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า คนสหรัฐที่นำเข้าสินค้าจะได้รับประโยชน์ ซื้อสินค้าในราคาถูกลง แต่หากมองเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า มักจะผกผันกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะต่ำลง แต่ถ้าเงินดอลาร์สหรัฐอ่อนค่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะแพงขึ้น”
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ของรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี คาดว่าจะขึ้นจุดสูงสุด (พีค) ได้ในช่วงรอยต่อไตรมาส 3-4 ปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะพีคที่ 3.5% มีความเป็นไปได้สูงสุด ส่วนที่บางคนอาจมองว่าจะพีคไป 4% ก็มองโอกาสค่อนข้างน้อย
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว มีน้ำหนักต่อ GDP เกือบ 20% ซึ่งมีนัยยะ โดยขณะนี้นักท่องเที่ยวเข้าไทย 1.1 ล้านคนแล้ว และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไปถึง 3.5 ล้านคนในช่วงก่อนโควิด หากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้น ก็จะเห็นการกลับมาของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไปด้วย
อย่างไรก็ดี ช่วงสั้นตลาดมีความเป็นไปได้ที่จะผันผวนก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนก.ย. ถ้าเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ก็ไม่มีอะไร Surprise แต่ถ้าปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ก็จะมองเป็นกลาง เพราะครั้งต่อไปเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลง ซึ่งจะเหลือการประชุม 2 ครั้งในปีนี้ ก็อาจจะปรับขึ้นไม่เกิน 0.50% ซึ่งไม่ได้ทำให้ตลาดกลัว
กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจ เป็นกลุ่มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจของไทย พร้อมทยอยลด exposure กลุ่มที่ enjoy inflation ในครึ่งปีแรก (H1/65), Growth story จะสามารถกลับมาปรับตัวได้ดีกว่ากลุ่มเน้นคุณค่า กำไรโตน้อย, กลุ่มโรงพยาบาล พาณิชย์ อาหาร สื่อมีเดียยืดหยุ่นต่อภาวะเงินเฟ้อ การบริโภค คือหัวใจการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ การลงพื้นที่ของส.ส.เพื่อเตรียมเลือกตั้งปีหน้าจะสร้างแรงจูงใจการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และกลุ่มสื่อสาร เทคโนโลยี platform & software การจับมือเพื่อสร้างกลุ่มธุรกิจสำหรับข้อมูลผุ้บริโภคเพื่อต่อยอดธูรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต
สำหรับครึ่งปีแรกพอร์ตการลงทุนอยู่กับกลุ่มโรงพยาบาล, พลังงาน, อาหาร และลดพอร์ตในหุ้นที่มีผลกระทบ อย่างกลุ่มไฟแนนซ์ ที่กลัวมาตรการแบงก์ชาติคุมเพดานดอกเบี้ย และคุณภาพสินทรัพย์, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์-ก่อสร้าง-รับเหมาก่อสร้าง ต่างเจอผลกระทบดอกเบี้ยขาขึ้น ดังนั้นในครึ่งปีหลัง (H2/65) มองกลุ่มธนาคารน่าลงทุนชัดเจน คลายความกังวลคุณภาพสินทรัพย์ อุตสาหกรรม SME ดีขึ้น ทำให้เป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร
ส่วนกลุ่มภาคการท่องเที่ยวถือว่าแพง อย่างหุ้น AOT, โรงแรม แต่ก็คงจะยังเทรดแพงไปอีกสักระยะ จากความคาดหวังกำไรจะดีขึ้นหลังเปิดเมือง เปิดประเทศ ส่วนกลุ่มอาหารก็ยังเพิ่มน้ำหนักลงทุนอยู่ สำหรับกลุ่มค้าปลีกมอง Valuation ต่ำ ทุกอย่างอยู่ในจุดเริ่มต้น ขณะที่กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มโลจิสติกส์ ควรจะปรับลดน้ำหนักลงทุน
นอกจากนี้ ยังรักษาสัดส่วนการลงทุนในทองคำ, Fix income เท่าเดิม พร้อมแบ่งสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ 65%, ทองคำ 10%, กองทุนอสังหาฯ 10% ที่เหลือให้ถือครองเงินสด
ด้านปัจจัยทางการเมืองเวลานี้คงจะต้องรอการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น คาดว่าจะเป็นเดือนก.พ.ปี 2566 ที่จะหมดวาระลง ซึ่งทำให้การเมืองจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้ง จะมีการดีเบต (Debate) และชูนโยบาย ทำให้ภาพโดยรวมคึกคักก่อนการเลือกตั้ง