ไรมอนแลนด์ชี้แจงละเอียดยิบ อัดเงินให้เคพีเอ็นแลนด์ 2 ล็อต เพิ่มทุน-จ่ายเงินสดรวม 1,574 ล้านบาทซื้อ 2 โครงการคอนโดเนียมหรู ที่กำลังออกแบบ ยังไม่ผ่าน EIA กว่าจะรับรู้รายได้ต้องรอปี 2565 เป็นต้นไป แถมจะต้องหาเงินมาพัฒนาด้วย นอกจากนี้ยังลงทุนซื้อห้องชุดที่ยังไม่โอนกรรมสิทธิ์อีก 1,868 ล้านบาท แบ่งจ่ายสด 1,000 ล้านบาท พร้อมรับภาระหนี้โครงการอีก 868 ล้านบาท
บริษัท ไรมอน แลนด์ (RML) แจ้งแก้ไขเพิ่มเติมมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2561 ว่า การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้บริษัทย่อยของบริษัทเคพีเอ็น แลนด์ (KPNL)จำนวน 597 ล้านหุ้น สัดส่วน 14.31% ของทุนชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,074.60 ล้านบาท และเงินสดอีก 500 ล้านบาท เพื่อแลกกับการเป็นเจ้าของโครงการ S19 จำนวน 51 % มูลค่าประมาณ 2,600 ล้านบาท บนเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ บนถนนสุขุมวิท ซอย 19 เพื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมีเนียมระดับหรู (Luxury Condominium) อยู่ระหว่างการออกแบบ จะมีทั้งหมด 24 ชั้นและมีจำนวนห้องที่คาดว่าจะขายทั้งสิ้น 143 ห้องชุด คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ระหว่างปี 2565-2566 ปัจจุบันเริ่มขายโครงการแล้วประมาณ 20 %
ส่วนโครงการ S28 คาดมูลค่าประมาณ 5,100 ล้านบาท เนื้อที่รวมประมาณ 2 ไร่ บนถนนสุขุมวิท ซอย 28 พัฒนาเป็นโครงการคอนโดมีเนียมระดับหรู ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบ เบื้องต้นคาดว่าจะมี 30 ชั้น จำนวนห้องที่คาดว่าจะขายทั้งสิ้น 256 ห้องชุด โครงการอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ระหว่างปี 2566-2567 ส่วนรายละเอียดเชิงลึกยังไม่สามารถชี้แจงได้
ทั้งนี้ KPNLจะให้บริษัทย่อยโอนหุ้นที่ถืออยู่ใน 2 โครงการดังกล่าวภายใต้กระบวนการโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer หรือ EBT) ส่วนหุ้น RML ที่ได้มาห้ามจำหน่ายภายใน 1 ปี โดยจะทยอยขายได้ภายใน 6 เดือนจำนวน 25%
“มูลค่าสิ่งตอบแทนรวม 1,574.6 ล้านบาท กำหนดตามมูลค่ายุติธรรมที่รับโอนมา คาดว่าการลงทุนจะสร้างกำไรได้ในอนาคต หากรายงานผลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ของทั้งสองโครงการได้รับความเห็นชอบ โดยยังต้องหาแหล่งเงินทุนเพื่อการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จ ทั้งจากกระแสเงินสดและเงินกู้จากสถาบันการเงิน ปัจจุบันทั้ง 2 โครงการได้รับสินเชื่อเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการจากสถาบันการเงินเรียบร้อยแล้ว ” บริษัทไรมอนแลนด์ระบุ
ส่วนประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคต บริษัทฯ สามารถใช้เครื่องหมายการค้า Diplomat และ Capital ของ KPNL ในการพัฒนาโครงการในอนาคตอื่นๆ ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันต่างฝ่ายต่างพัฒนา
โครงการของตนที่มีอยู่ต่อไป ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ ก็จะได้ใช้ประสบการณ์ทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน (synergy) เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่ทั้งสองบริษัท
ปัจจุบันบริษัทมีความสามารถในการหาฐานลูกค้า ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่เป็นชาวต่างชาติเต็มอัตราที่ 49% ของพื้นที่ของโครงการ ส่วน KPNL มีความสามารถในการหาฐานลูกค้าระดับบนในประเทศไทย โดยมีสัดส่วนลูกค้าในประเทศไทยมากกว่า 90% ในแต่ละโครงการในอดีต จะช่วยเติมเต็มและส่งเสริมประสิทธิภาพในการขายของบริษัทฯ ให้สามารถขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนั้นคณะกรรมการบริษัทฯเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2561 ยังมีมติอนุมัติให้ซื้อห้องชุดที่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 107 ห้อง ในโครงการ The Diplomat 39 อาคารชุด ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 39 และห้องชุดที่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 9 ห้องในโครงการ The Diplomat Sathorn ตั้งอยู่แขวงสีลม เขตบางรัก จาก KPNL โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,868,836,233 บาท แบ่งชำระเป็นเงินสด 1,000 ล้านบาทและรับผิดชอบในการชำระหนี้ของโครงการดังกล่าวจำนวน 868.83 ล้านบาท ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็น”สินทรัพย์”จัดเป็นทรัพย์สินหมุนเวียนที่บริษัทฯใช้ในการประกอบธุรกิจเท่านั้น
บริษัทเปิดเผยแหล่งที่มาของเงินลงทุนว่า นอกจากใช้กระแสเงินสดของบริษัทแล้ว อาจจะต้องกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนของบริษัท ที่มีแผนเปิดตัวรวม 3 โครงการในไตรมาสที่ 4 และอยู่ระหว่างการก่อสร้างทั้งสิ้น 2 โครงการ คือ โครงการ เดอะ ลอฟท์ อโศก ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 3,168 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จ และจะสร้างกระแสเงินสดได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/2561 เป็นต้นไป จนกว่าจะโอนเสร็จนทั ้งหมด และโครงการ เดอะ ลอฟท์ สีลม มูลค่าประมาณ 3,462 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างกระแสเงินสดได้ในช่วงครึ่งปีหลังของ ปี 2563 เป็นต้นไป
สำหรับ KPNL ประกอบธุรกิจมานานกว่า 7 ปี มีโครงการระดับหรูในอดีตที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ต่อบริษัท เพราะเข้ามาถือหุ้นเพียง 14.3% และส่งตัวแทนเข้ามาเป็นกรรมการ 2 คน ซึ่งไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวณรงค์เดช ไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารที่สำคัญ จุดประสงค์ของ KPNL เพื่อเข้ามาลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้นและเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
ทางด้านโครงสร้างการถือหุ้นของ KPNL ณ วันที่ 30 เม.ย. 2561 มี บริษัท เคพีเอ็น โฮลดิ้งถือหุ้นทั้งหมด 100% ซึ่งประกอบด้วย นาย กฤษณ์ ณรงค์เดช ถือหุ้น 38% นาย ณพและนายกรณ์ ณรงค์เดช ถือหุ้นเท่ากัน คนละ 28.50 % และนายเกษม ณรงค์เดช ถือหุ้น 5%