GL เจ็บหนัก ปี63 ขาดทุน 1,239 ลบ. รายได้ทรุด รายจ่ายพุ่งพรวด

HoonSmart.com>>”กรุ๊ปลีส” เผยขาดทุนโผล่ 1,238.95 ล้านบาท ปี 63 เจอโควิด รายได้หดเหลือ 1,387 ล้านบาท รายจ่ายเพิ่มเฉียด 50% เป็น 1,883 ล้านบาท  จากบริษัทย่อยในสิงคโปร์(GLH) บันทึกผลขาดทุนคำตัดสินของศาลสิงคโปร์ในปีนี้จำนวน 15.72 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 0.13 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 495.79 ล้านบาท) บริษัทย่อยในกัมพูชา (GLF)ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ  226 ล้านบาท  บริษัทร่วมในศรีลังกาขาดทุน

บริษัท กรุ๊ปลีส (GL) เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2563 ขาดทุนสุทธิ1,238.95 ล้านบาท เท่ากับ 0.812 บาทต่อหุ้น ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีเพียง 32.88 ล้านบาทหรือ 0.022 บาทต่อหุ้น

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ กรรมการ บริษัท กรุ๊ปลีส   กล่าวว่า ขาดทุนที่เพิ่มขึ้น 1,206.07 ล้านบาท มาจากรายได้ที่ลดลง และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในปี 2563 การดำเนินงานของทุกประเทศอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ดังนั้นบริษัทฯจึงมีนโยบายการเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ เพิ่มคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อและเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองลูกค้าที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มคุณภาพของสินเชื่อ โดยเฉพาะในประเทศลาวและพม่า

นอกจากนี้ฝ่ายบริหารต้องเผชิญกับการลดลงของมูลค่าเงิน และความไม่แน่นอนทางการเมืองของประเทศพม่าและศรีลังกา ซึ่งเป็นสาเหตุให้ความสามารถ
ในการใช้จ่ายในท้องถิ่นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

“รายได้ดอกเบี้ยเช่าซื้อจำนวน 1,386.51 ล้านบาท ลดลง 379.55 ล้านบาทหรือ 21% จากปี 2562 ขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการให้บริการและบริหาร 1,883.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 626.93 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49.91%”

ขณะเดียวกันบริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์(GLH) ได้บันทึกผลขาดทุนจากคำตัดสินของศาลสิงคโปร์ในปีนี้จำนวน 15.72 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 0.13 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 495.79 ล้านบาท)  บริษัทย่อยในกัมพูชา (GLF)ได้บันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเงินจ่ายล่วงหน้าสำหรับสินทรัพย์เพื่อการเช่าซื้อปีนี้  7.10 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 226.00 ล้านบาท)

ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและผลขาดทุนจากการตัดรายการ และหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญในงบการเงินรวมเพิ่มขึ้น 172.45 ล้านบาท คิดเป็น  40% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มของค่าเผื่อหนี้สงสัยสะสูญ 134.40 ล้านบาท และการตัดจำหน่ายหนี้สูญที่เพิ่มขึ้นจำนวน 38.05 ล้านบาท ขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนอื่น  192.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.23 ล้านบาท คิดเป็น 42% ซึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์โควิดและภาวะเศรษฐกิจจนถึงปี 2565

ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมในประเทศศรีลังกา (CCF) ซึ่งบริษัทฯ ได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไร  29.99% จำนวน 3.64 ล้านบาท ลดลง 67.31 ล้านบาท คิดเป็น 105.72% จากจำนวน 63.66 ล้านบาท ในปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของประเทศศรีลังกาในปี 2563

สำหรับต้นทุนทางการเงินจำนวน  250.15 ล้านบาท ลดลง 111.59 ล้านบาท คิดเป็น 31% ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของหนี้สินจากการจ่ายคืนหุ้นกู้แปลงสภาพ 20 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ) ในไตรมาส2/2563 และการจ่ายคืนหุ้นกู้ในไตรมาส3/2562