HoonSmart.com>>”เกียรตินาคินภัทร”ลั่นครึ่งปีหลังสดใส ปรับเป้าสินเชื่อทั้งปีโต 16% NPLs 3.1% ธุรกิจวาณิชธนกิจ ส่ง IPO เข้าตลาด 2 บริษัท มุ่งเติบโตแบบมีกลยุทธ์ ต่อยอดศักยภาพธุรกิจผ่านเทคโนโลยี เปิดตัวสตาร์ทอัพ บล. KKP DIME ปลายเดือนส.ค.ให้บริการผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม รับเงินฝาก ซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ขยายฐานกลุ่มลูกค้ารายย่อย นักลงทุนรุ่นใหม่ พร้อมต่อยอดสู่ Virtual Banking
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร(KKP) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2565 อยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจพาณิชย์ สินเชื่อรวมขยายตัวถึง 10% ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ และที่อยู่อาศัย จากเดิมคาดว่าน่าจะโตเพียง 6% คาดว่าความต้องการยังมีสูงในครึ่งปีหลัง จึงปรับประมาณการทั้งปีเพิ่มเป็น 16% จากเดิมคาดไว้ 12% นอกจากนี้ธนาคารได้ปรับลดการตั้งสำรองสอดรับกับคุณภาพที่ดีของพอร์ตสินเชื่อใหม่ และอัตราการชำระคืนของลูกหนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ โดยตั้งสำรองเป็นจำนวน 1,878 ล้านบาท ลดลงกว่าปีก่อนหน้านี้ค่อนข้างมาก
ส่วนธุรกิจตลาดทุน รายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง ตามภาวะตลาด แต่บริษัทมีการกระจายตัวตามลักษณะธุรกิจ โดยธุรกิจนายหน้ายังคงครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งที่ 18.18% และธุรกิจการลงทุนเติบโตดีจากฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทำกำไรได้ดีในภาวะผันผันผวน ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมามีการขายเงินลงทุนออกไปบางส่วน ทำให้ไม่ต้องรับรู้ผลกระทบจากการมาร์คทูมาร์เก็ต
ด้านธุรกิจวานิชธนกิจ 6 เดือนแรกไม่มีรายได้จากการเป็นปรึกษาในการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ คาดครึ่งปีหลังมี 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ไทยประกันชีวิต (TLI) และบริษัท เบทาโกร(BTG) ส่วนธุรกิจขายตราสารหนี้มีการเติบโตตามความต้องการระดมเงินก่อนดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น และธุรกิจควบรวมกิจการ (M&A)ไปได้ดี ทางด้านธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) มีปริมาณทรัพย์สินภายใต้การบริหาร(AUA) อยู่ที่กว่า 7 แสนล้านบาท
ด้านผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น เช่น ROAE อยู่ที่ 14.5% เทียบกับปีก่อนที่ 12% และเป้าหมาย 13% นับว่าสูงกว่าอุตสาหกรรม ต้นทุนอยู่ที่ 1.63% ก็ดีกว่าคาด จึงปรับเป้าหมายเป็น 2% เทียบกับเดิมที่ตั้งไว้ 2.2% ส่วนต่างดอกเบี้ย(สเปรด) อยู่ที่ 5.3% ดีกว่าคาด ยังคงเป้าหมายที่ 5.1% NPLs อยู่ที่ 3% ดีกว่าคาดแม้จะเพิ่มขึ้นแต่จัดการได้ จึงปรับลดเป้าหมายลงจาก 3.3% เหลือ 3.1%
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในระยะต่อไป ยังคงต่อยอดการประสานธุรกิจธนาคารพาณิชย์และตลาดทุน เพื่อพัฒนาบริการที่ครบถ้วนและไร้รอยต่อสำหรับลูกค้า ตลอดจนกระจายแหล่งรายได้รองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจทวีความผันผวนในอนาคต โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากพัฒนาการทางเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ ที่ลดข้อจำกัดด้านขนาดหรือเครือข่ายและทำให้ธนาคารแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม อาทิ ธุรกิจ KKP Edge ที่นำเสนอบริการ Wealth Management ในแบบที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้น หรือธุรกิจ Dime โดยจะเปิดตัว บล. KKP DIME ในปลายเดือนส.ค.นี้ เสนอผลิตภัณฑ์และบริการในรูปแบบดิจิทัล พร้อมกันนั้น ยังคงไม่ละเลยการลงทุนในด้านระบบสำหรับธุรกิจหลักอย่างสินเชื่อที่กลุ่มธุรกิจฯ เชื่อว่ายังมีศักยภาพสำหรับการเติบโตและเป็นองค์ประกอบสำคัญในธุรกิจ
“บล. KKP DIME เหมือนธุรกิจสตาร์ทอัพ จะให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม ในช่วงแรกจะเปิดรับบัญชีเงินฝากและการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ในอนาคตจะให้บริการสินเชื่อ และธุรกิจประกัน โดยจะไม่มีคนให้บริการ ไม่มีหน้าร้าน หากทำได้ดีเป็นเหมือนน้ำซึมบ่อทราย การลงทุนช่วง1-2 ปี แรกไม่มีอิมแพ็ค เราจะลงไปหาตลาดเล็ก ขยายฐานกลุ่มลูกค้ารายย่อย นักลงทุนรุ่นใหม่ พร้อมต่อยอดสู่ Virtual Banking “นายอภินันท์กล่าว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจฯ มองว่าสถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในภาพรวมยังน่ากังวลจากภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ผนวกกับภาวะปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง กลุ่มธุรกิจฯ จึงเตรียมพร้อมสำหรับช่วยเหลือลูกค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด ทั้งนี้ โดยมุ่งให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างยั่งยืน มากกว่ามาตรการเฉพาะหน้า เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้าในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง
นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า นโยบายการเติบโตสินเชื่อแบบมีกลยุทธ์ให้ผลที่ดี โดยช่วยให้ธนาคารสามารถรักษาการเติบโตของรายได้และกำไรแม้ในสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว พร้อมมาตรการคัดกรองและบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพยังรักษาคุณภาพของสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยสินเชื่อครึ่งปีแรก มีรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยถึง 69% โดยหลักมาจากกลุ่มสินเชื่อรายย่อยที่มีหลักประกัน ไม่ว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่โตขึ้นกว่า 11% หรือสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่โตขึ้น 19%
ด้านนายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ครึ่งปีแรก 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,089 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.1% โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 672 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 169.1% นอกจากนี้ ธนาคารยังมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 8,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 3,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% จากครึ่งปีแรก 2564 และธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio)ณ สิ้นไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 16.56% เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 จำนวน 12.99%