HoonSmart.com>>” ไทยประกันชีวิต” เดินหน้าขายหุ้น IPO 29 มิ.ย.-6 ก.ค.ที่ราคา 16 บาท สถาบันชั้นนำทั้งไทยและระดับโลกตอบรับสูง “กลุ่มไชยวรรณ” กอดหุ้นใหญ่เกิน 60% “เมจิยาสุดะ ไลฟ์ อินชัวรันส์” ซื้อ IPO รักษาการถือหุ้น 15% ด้าน”ไชย”ผลักดันมุ่งสู่บริษัทประกันชีวิตอย่างยั่งยืน “วรางค์ “แจงวิธีวิเคราะห์หุ้น ชู 5 จุดเด่น กำไรโตชัดเจน ที่ปรึกษาการเงิน เผยราคาขายหุ้นเทียบประกันทั่วโลก ลุ้นเทรดวันแรกดันมาร์เก็ตแคปสูงเข้า SET 50
วันที่ 27 มิ.ย. 2565 บริษัท ไทยประกันชีวิต (TLI) นำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) การเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) รวมไม่เกิน 2,316,7 ล้านหุ้น (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน 161.63 ล้านหุ้น) ราคาเสนอขายหุ้นละ 16 บาท มูลค่ารวมไม่เกิน 37,067 ล้านบาท นับเป็น IPO หมวดธุรกิจประกันภัย และประกันชีวิตที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย และยังมีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับจากปี 2543 เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ร่วมเป็นเจ้าของและเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นอกจากนี้ยังได้รับกระแสการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลก โดยมีสถาบันคุณภาพที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 18 ราย ลงนามในสัญญาลงทุนในหุ้น TLI เพื่อเป็น Cornerstone Investors รวม 1,158.4 ล้านหุ้น หรือประมาณ 50% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้และเปิดโอกาสให้ลูกค้าของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์สามารถจองซื้อหุ้น TLI ได้ในระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. – 6 ก.ค.2565 คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนก.ค.นี้
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต (TLI) กล่าวว่า ไทยประกันชีวิต เป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกของคนไทยและรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่เป็นแบรนด์ของคนไทยและก่อตั้งโดยคนไทย อายุกว่า 80 ปี ได้รับความไว้วางใจมีกรมธรรม์ที่มีผลบังคับกว่า 4.4 ล้านกรมธรรม์ ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 สร้างแบรนด์ เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในประเทศไทยมีสาขา 260 แห่ง และตัวแทนประกันชีวิต 49,000 รายในต่างจังหวัด สร้างรายได้สูงเป็นอันดับหนึ่ง สัดส่วน 68% ของเบี้ยประกันภัยรับรวม
บริษัทพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน มุ่งสู่การเป็น Life Solutions Provider เป็นทุกคำตอบด้านการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการวางแผนการเงินส่วนบุคคล เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ยกระดับสู่การเป็น Data Driven Company ดำเนินธุรกิจผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงกลยุทธ์ กรมธรรม์หลากหลายครอบคลุมทุกช่วงชีวิต มี Hotline เคลื่อนที่ลูกค้าไปทั่วโลก โดยไม่มีค่าใช้จ่าย พันธมิตรแข็งแกร่งอยู่แล้ว ทีมผู้บริหารที่เป็นมืออาชีพ เป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกที่มีการจัดอันดับ และได้เรทติ้ง AAA กำไรต่อเนื่องตลอด 15 ปี สินทรัพย์สูงกว่า 5 แสนล้านบาท ดำเนินธุรกิจตามแนว ESG หากสังคมอยู่ได้ ไทยประกันชีวิตก็อยู่ได้ ลูกค้าเข้าถึงง่ายในสินค้าของบริษัท เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนไทย โดยมีแผนสร้างความมั่นคง เติบโตอย่างยั่งยืน 2 ช่วงๆแรกในปี 2565-2570 ปรับองค์กรให้ตอบรับทุกคำตอบเป็นมากกว่าบริษัทประกันชีวิตและก้าวสู่อนาคตที่เข้มแข็งและยั่งยืนใหกับทุกภาคส่วนในปี 2570-2574
“วาระครบรอบ 80 ปี บริษัทประกันชีวิตแห่งแรกของคนไทย อยากเชิญชวนคนไทยร่วมสร้างการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน” นายไชย กล่าว
ส่วนวัตถุประสงค์ในการขายหุ้น IPO เน้นลงทุนในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) ผ่านนวัตกรรมที่จะเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการ และดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร ตลอดจนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุนมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันดำรงเงินกองทุนสัดส่วน 361.5 % สูงกว่าที่คปภ.กำหนด 140% ค่อนข้างมาก เชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าไทยประกันชีวิตจะเป็นบริษัทประกันชีวิตที่สามารถสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทย ตลอดจนอยู่เคียงข้างดูแลลูกค้าและคนไทยอย่างยั่งยืน
นางวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต กล่าวว่า วิธีการพิจารณาหุ้น TLI ไม่สามารถดู P/E หรืออัตราเงินกองทุนเท่านั้น เพราะธุรกิจประกัน สร้างรายได้ในระยะยาว มีกำไรในอนาคตจากอายุกรมธรรม์ 10-20 ปี ทรัพย์สินจะสูงขึ้น หากบริษัทมีชื่อเสียงและโอกาสในการเติบโตในอนาคต แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น เพิ่มโอกาสทำกำไร บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการบริหารเงินกองทุนง่ายขึ้น รวมถึงเงินใหม่ที่จะเข้ามา ระยะยาวเน้นการขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่อิงกับดอกเบี้ย เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว แม้ว่าดอกเบี้ยจะลดลง
จากผลงานที่ผ่านมาในปี 2553-2563 ธุรกิจเติบโตเฉลี่ย 7.3% แนวโน้มจะเติบโตขึ้นตามเศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ย 4% ในปี 2565-2569 ปัจจุบันประเทศไทยมีการซื้อกรมธรรม์เพียง 3.8% ต่ำกว่าหลายประเทศ ผู้ชี่ยวชาญคาดว่าจะเติบโตถึง 10% อัตราส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทำให้สนใจทำประกันชีวิต และสุขภาพมากขึ้น โดยบริษัทฯได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและพันธมิตร คือ บริษัท เมจิยาสุดะ ไลฟ์ อินชัวรันส์ หนึ่งในบริษัทประกันชีวิตรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้ไทยประกันชีวิต มีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งและมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น พร้อมสร้างโอกาส การเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว”
บริษัทวาง 5 กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ อาทิ การเป็นผู้นำการตลาด ธุรกิจขนาดใหญ่ครบวงจรตอบโจทย์ของคนไทย ลดระยะเวลาในการให้บริการ เน้นผลิตภัณฑ์การลงทุน พร้อมมี 5 จุดเด่น ได้แก่ 1. มีแบรนด์ เอกลักษณ์ แตกต่างเป็นที่รู้จักของคนไทย เป็นบริษัทคนไทยใหญ่ที่สุด และยาวนาน 80 ปี มุ่งหวังกำไรโตยั่งยืน
เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดีขึ้นและมีความมั่งคั่ง 2.มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย แข่งขันได้ ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น ช่องทางการจัดจำหน่ายและมีพันธมิตรหลากหลาย
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2564 ไทยประกันชีวิตมีส่วนแบ่งทางการตลาดเมื่อพิจารณาจากเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ประมาณ 15% เป็นอันดับที่ 2 ในอุตสาหกรรมประกันชีวิต โดยมีรายได้รวม 109,246 ล้านบาท สามารถสร้างกำไรสุทธิ 8,394 ล้านบาท สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ 11.3% ระหว่างปี 2562 – 2564 ขณะที่ในไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวม 25,955 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3,793 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 14.7% เทียบกับช่วง ไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า
นาย วิญญู ไชยวรรณ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต กล่าวว่า บริษัทไม่มีธนาคารพาณิชย์เป็นบริษัทแม่ นับเป็นจุดด่น สามารถสร้างพันธมิตรได้หลากหลาย เช่น แบงก์ 4 แห่ง มีสาขามากกว่า 730 แห่ง เป็นสัญญาระยะสั้น สามารถปรับกลยุทธ์ และต้นทุนไม่มาก รวมถึงองค์กรของรัฐ 5 แห่ง ลิสซิ่ง เช่าซื้อ 9 แห่ง มี 280 สาขา เช่น บัตรกรุงไทยและอิออน รวมถึงการให้บริการผ่านทางโทรศัพท์ และแพลตฟอร์มทางดิจิทัล โดยจะเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่ซับซ้อนและมูลค่าไม่สูง
นอกจากนี้บริษัทยังมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ยาวนาน เฉลี่ย 24 ปี ในวงการเงินและประกัน หลายคนอยู่นานกว่า 17 ปี ช่วยทำให้บริษัทเข้าใจตลาด การแข่งขัน และได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่ง บริษัท เมจิยาสุดะ ไลฟ์ อินชัวรันส์ ซึ่งเข้ามาถือหุ้น 15% พร้อมจะซื้อหุ้น IPO เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้น 15% เนื่องจากการลงทุนในบริษัทไทยประกันชีวิตได้สร้างกำไรมากที่สุดนอกเอเชีย และในปี 2562 สนันสนุนให้บริษัทเข้าไปในลงทุนในบริษัทประกันในเมียนมา และเปิดโอกาสในการเสนอผลิตภัณฑ์ในโรงงานญี่ปุ่นในประเทศไทย ทำให้บริษัทขยายธุรกิจเข้าตลาดใหม่ ๆ
นายนิติพงษ์ ปรัชญานิมิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ และ Chief Marketing Officer กล่าวว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต มีความเชี่ยวชาญ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบสนองตามความต้องการตามอายุ และยืดเหยุ่นได้ตามสภาพแวดล้อม เช่น ในช่วงดอกเบี้ยต่ำหลายปี เสนอผลิตภัณฑ์ควบการลงทุน ทำให้เติบโตชัดเจน และมีกำไรจากเบี้ยประกันรับปีแรกสูง เพิ่มช่องทางตัวแทนจำหน่ายให้ความสำคัญในการสร้างเครือข่ายตัวแทนครอบคลุมทั่วประเทศไทย ซึ่งยังเป็นส่วนสำคัญในการอธิบายเรื่องซับซ้อน ทำให้เป็นอุปสรรคของคนเข้าใหม่
นายไมเคิล เฮียง ลี Chief Financial Officer กล่าวว่า บริษัทฯมีความสามารถในการทำกำไรเติบโตได้ทุกสถานการณ์ ปี 2564 มีรายได้รวม 1 แสนล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีกำไรกว่า 8,000 ล้านบาท สูงสุดของบริษัท แม้เบี้ยประกันรับสุทธิลดลงเล็กน้อยจากโควิด แต่เงินลงทุนสุทธิเพิ่มขึ้น ในไตรมาส 1/2565 รายได้รวมโต 3% เพราะมีการควบคุมค่าใช้จ่าย กำไรสูงสุด อัตรากำไรก็ดีขึ้น พร้อมรักษาความยั่งยืนและทำกำไร ROA 1.8 % ROE เฉลี่ย 11.4% คงที่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรก สะท้อนถึงพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแรกร่ง โดยมีพอร์ตลงทุนกว่า 5 แสนล้านบาท กว่า 90%% เป็นตราสารหนี้ บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญของบริษัท ส่วน 13% ลงทุนในหุ้น
นาย อนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ ประธานสายวาณิชธนกิจและตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ในฐานะ 1 ใน 2 ของที่ปรึกษาทางการเงินกล่าวว่า คณะผู้บริหารของไทยประกันชีวิตได้พบปะกับนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศนับ 100 แห่ง เพื่อนำเสนอข้อมูลบริษัท ประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยหุ้น TLI ได้รับกระแสการตอบรับที่ดีและความสนใจในการลงทุนเป็นจำนวนมาก แม้ในภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การลงทุนที่มีความผันผวนก็ตาม
บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นที่ 16 บาทต่อหุ้น และ มีนักลงทุนสถาบัน ชั้นนำทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศรวม 18 ราย สนใจลงทุนเป็น Cornerstone Investors คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 18,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 50 % ของจำนวนหุ้น IPO ทั้งหมดในครั้งนี้ เช่น GIC Private Limited, Oaktree Capital Management เป็นต้น รวมถึงนักลงทุนสถาบันชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ บลจ. กสิกรไทย บลจ. ไทยพาณิชย์ บลจ. กรุงศรี บลจ. กรุงไทย บลจ. เอ็มเอฟซี เป็นต้น
“การเสนอขายหุ้นครั้งนี้ แม้มีการนำหุ้นเดิมออกมาร่วมจัดจหน่าย แต่กลุ่มไชยวรรณยังคงถือหุ้นใหญ่เกิน 60% และมีกรีนชู ดูแลเสถียรภาพของราคาหุ้นในช่วง 30 วันทำการด้วย จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการสร้างผลการดำเนินงานที่มั่นคง และศักยภาพในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องของไทยประกันชีวิต ผมเชื่อว่า TLI จะเป็นหุ้นคุณภาพอีกหนึ่งตัว ซึ่งเหมาะสำหรับลงทุนระยะยาว”นายอนุวัฒน์กล่าว