HoonSmart.com>> ปตท.เปิดงบไตรมาส 1/65 กำไรสุทธิ 25,571 ล้านบาท ลดลง 21.5% จากงวดปีก่อน ผลกระทบสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์ จากสงครามรัสเซียและยูเครน ดันราคาน้ำมันพุ่ง ด้านรายได้-EBITDA เพิ่มขึ้นจากราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิจำนวน 25,571 ล้านบาท ลดลง 7,017 ล้านบาท หรือ 21.5% จากไตรมาส 1/2564 ที่มีกำไรสุทธิ 32,588 ล้านบาท และลดลง 1,973 ล้านบาท หรือ 7.2% จากไตรมาส 4/2564 ที่มีจำนวน 27,544 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสนี้มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้นมาก โดยหลักจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์ ที่ราคาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก อันเนื่องมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครนที่หลายประเทศมีการประกาศคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงมีภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น
แม้ว่ารายได้จากการขายและกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จะเพิ่มขึ้น ตามรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นตามราคาในตลาดโลก รวมถึงปริมาณขายโดยรวมที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ กำไรสุทธิเป็นผลการดำเนินงานรวมจากบริษัทในเครือทั้งในและต่างประเทศ โดยสัดส่วนกำไร 30% มาจากการดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจการค้าระหว่างประเทศของ ปตท. และ 70% มาจากผลตอบแทนการลงทุนในบริษัทในกลุ่ม ปตท.
นายอรรถพล กล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เป็นเหตุให้อุปทานพลังงานลดลง ส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงตลอดจนค่าครองชีพของประชาชนที่ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก ทำให้แต่ละประเทศต่างตระหนักถึงความสำคัญของความมั่นคงด้าน พลังงาน โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเป็นหลัก ปตท. ยังคงยึดมั่นดำเนินธุรกิจให้บรรลุพันธกิจดูแลความมั่นคงทางพลังงานของชาติ และได้ดำเนินมาตรการบริหารจัดการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรองรับความต้องการใช้ในประเทศอย่างเต็มความสามารถ ประกอบด้วย การจัดหาน้ำมันดิบเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มปริมาณสำรอง ประสานงานโรงกลั่นในกลุ่ม ปตท. จัดเก็บน้ำมันคงคลังในระดับสูงสุด ควบคู่ไปกับการร่วมดูแลสาธารณสุขและสังคม รวมถึงสนับสนุนด้านพลังงาน เพื่อแบ่งเบาภาระของภาครัฐและประเทศในระหว่างที่ยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนอย่างต่อเนื่อง