BIS ฤกษ์เทรด 5 พ.ค.กระแสตอบรับดี ผู้นำไบโอเทคสัตว์ อนาคตไกล

HoonSmart.com>>”ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์” เข้าเทรด mai วันแรก ผู้บริหาร- FA สุดมั่นใจ กระแสตอบรับดี หุ้นวัคซีน-ยาสัตว์ รายแรกในตลาดหุ้นไทย มั่นใจธุรกิจทะยาน รายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20% หลักๆ มาจากธุรกิจต้นน้ำ เตรียมขยายกิจการทั้งปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง เล็งผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ขายปี 67 เป็นรายแรก เริ่มขายอาหารสุนัข-แมว แบรนด์ดัง Pedigree และ Cesar ยอดขายชุดตรวจโรคอหิวาห์ในสุกรปี 64 โตกว่า 10 เท่า

นายสัตวแพทย์ ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ (BIS)  กล่าวอย่างมั่นใจว่า หุ้น  BIS จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ในวันที่หุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ(mai) วันที่ 5 พ.ค.2565 หลังจากได้รับความสนใจอย่างสูงในการโรดโชว์ และจองซื้อหุ้น IPO  ผลงานในปี 2564  มีกำไรสุทธิ 69 ล้านบาท เติบโตประมาณ 28% จากกำไรสุทธิ 54 ล้านบาทในปี 2563  มาจากรายได้รวม 1,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 11% จากปีก่อนที่ทำได้ 1,784 ล้านบาท แม้จะเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 และโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์โดยตรง

สำหรับจุดเด่นของ BIS มีหลายด้าน อาทิ การเป็นผู้นำเข้าวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ระดับโลก จากกลุ่มผู้ผลิตยาหลายกลุ่ม มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศ และสามารถสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่สามารถแก้ปัญหาด้านสุขอนามัยของโลก เช่น การผลิตชุดตรวจโควิด-19 แบบ Real time PCR ซึ่งเป็นผู้ผลิตไทยรายแรกที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองมาตรฐาน และการผลิตชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร หรือ ASF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างสูง มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

ปัจจุบัน บริษัทฯมีรายได้หลักประมาณ 80% มาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 1.2 ล้านบาท (ไม่รวมมูลค่าการบริโภคในประเทศ) ในปี 2565 และประมาณ 20% ของรายได้มาจากธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงซึ่งมีการเติบโตสูง โดยบริษัทฯ คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยเปิดเมือง ทำให้มีการบริโภคอาหารและเนื้อสัตว์  รวมถึงการส่งออกอาหารเพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกันในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร  เพิ่มขึ้น 10 เท่า จากนโยบายการตรวจเชิงรุกของลูกค้าภาคเอกชนรายใหญ่ ฟาร์มรายใหญ่และรายย่อย คาดว่าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์และสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะขยายตัวตามเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัว บริษัทฯ เตรียมลงทุน ผลิตสินค้าแบรนด์ของบริษัทฯ เอง เพื่อเพิ่มรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition Product) และลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาวัคซีนสำหรับสัตว์เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ทดแทนการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ

ในตลาดสัตว์เลี้ยง BIS ได้เซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายอาหารสุนัขระดับโลก แบรนด์ Pedigree และอาหารแมว แบรนด์ Cesar ให้กับกลุ่ม บริษัท มาร์ส (ประเทศไทย)  ตั้งแต่เดือนม.ค.2565 เป็นต้นไป โดยมุ่งทำตลาดในกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ และคลินิครักษาสัตว์ทั่วประเทศกว่า 1,000 แห่ง  คาดว่าจะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี

ด้านรายได้รวม น่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 20%  เนื่องจากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้น การเปิดเมืองช่วยเพิ่มการผลิตและบริโภคเนื้อสัตว์ ส่วนรายได้จากกลุ่มชุดตรวจโรคสัตว์คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง เพราะมีความจำเป็นต่อฟาร์มปศุสัตว์ในการป้องกันการระบาดของโรค นอกจากนี้ BIS ยังได้ปัจจัยหนุนจากกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยงซึ่งคาดว่ายอดขายแบรนด์ Pedigree และ Cesar จะทำให้ยอดขายกลุ่มสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างมีนัยยะ

กลุ่มไบโอซายน์ หรือ “BIS” เป็นเจ้าของแบรนด์เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์หลากหลายแบรนด์ โดยมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตนเองที่ได้มาตรฐานสากล บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพสัตว์ครบวงจร คือ 1.ผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคสำหรับสัตว์ (Animal Health Product) 2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition Product) 3. ผลิตภัณฑ์เพื่อการวินิจฉัยโรคสำหรับสัตว์ (Diagnostic Product) 4. ผลิตภัณฑ์อาหารเม็ดสำเร็จรูปสำหรับสัตว์ (Complete Feed Product) 5. ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารสัตว์ (Ingredient Product) 6. ผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยบริษัทฯ มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่จำนวนมากในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารสูงติดอันดับโลก เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในครัวของโลก

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)  ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน  และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายของบริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์  กล่าวว่า  มีความมั่นใจว่า หุ้น BIS จะได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มนักลงทุนระยะยาว และกลุ่มนักลงทุนรายย่อย เนื่องจาก BIS มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโตสูง โดยบริษัทอยู่ในธุรกิจด้านไบโอเทคซึ่งเป็น 1 ในอุตสาหกรรม New S-Curve ของรัฐบาล อีกทั้ง BIS มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ และ ความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจจำนวนมากทั้งบริษัทไทยและบริษัทระดับนานาชาติ นอกจากนี้ ยังอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สัตว์ ซึ่งเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีความสำคัญและมีมูลค่าสูง จึงมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องไปกับอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารสูงติดอันดับโลก

BIS เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 94 ล้านหุ้น ที่ราคา 6.00 บาท/หุ้น  พาร์หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็น 29.94% ของทุนจดทะเบียนหลัง IPO  มูลค่าการระดมทุนประมาณ 564 ล้านบาท