HoonSmart.com>>”โพลีเน็ต” (POLY)ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.7% ของหุ้นชำระแล้วทั้งหมด ใช้ลงทุนขยายโรงงาน-เครื่องจักร, คืนหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน พร้อมมีความประสงค์จะเข้าตลาด SET โดยมีบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
บริษัท โพลีเน็ต (POLY) ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.7% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของ POLY ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ และมีความประสงค์จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
วัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อสำหรับจ่ายคืนหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาทางการเงิน และ/หรือผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย, เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ และลงทุนในโครงการขยายโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม
POLY ประกอบธุรกิจขึ้นรูป ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาง พลาสติก ซิลิโคน แม่พิมพ์ สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค
ในปี 2563 POLY มีรายได้รวมเท่ากับ 522.7 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 จำนวน 58.7 ล้านบาทหรือคิดเป็นการลดลง 10.1% ซึ่งเป็นผลมาจากภาคการผลิตรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ POLY มองเห็นโอกาสในการจัดสรรกำลังการผลิตใหม่และปรับกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่กลุ่มอุปกรณ์การแพทย์และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง และจากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าว ในปี 2564 POLY จึงมีรายได้รวมเท่ากับ 786.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 263.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 50.4% นอกจากนี้สินค้าในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ก็เติบโตขึ้นเช่นกันจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนใหม่ให้แก่ลูกค้า
สำหรับปี 2562-2564 POLY มีกำไรสุทธิเท่ากับ 13.1 ล้านบาท 21.8 ล้านบาทและ 120.9 ล้านบาทตามลำดับ โดยในปี 2563 แม้ว่ายอดขายจะปรับตัวลดลงจากสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8.7 ล้านบาท รวมถึงมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปี 2562 โดยหลักเกิดจากยอดขายที่เพิ่มสัดส่วนกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น, ต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ยืมและการปรับลดของอัตราดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่ลดลงจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI ขณะที่ปี 2564 กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 99.1 ล้านบาท จากปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 15.4% เนื่องจาก ยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น, การใช้กำลังการผลิตโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาดและลดต้นทุนคงที่ต่อหน่วย และสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้จากการขายลดลง
โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ 30 มีนาคม 2565 คือกลุ่มตระกูลเหลารัตนา ถือหุ้นรวม 328 ล้านหุ้น คิดเป็น 99.4% หลังขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 72.9%
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีจากงบเฉพาะกิจการหลังหักเงินสำรองตามกฎหมายและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทฯ