MFC : Markets Switching back to risk-off

Highlighted Funds

MGF : ลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth Stock) มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด เนื่องจากหุ้นประเภทนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ อีกทั้งยังทนกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นได้ดี

M-EDGE : โอกาสลงทุนในหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และเติบโตอย่างยั่งยืน คัดเลือกลงทุนหุ้นคุณภาพดี สามารถสร้างมูลค่าได้เหนือกว่าดัชนีหุ้นโลก อีกทั้ง กองทุนกระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่มี business cycle ต่างกัน และหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เหมาะสมกับภาวะตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง

MCHINA : ลงทุนในหุ้นจีน A-shares ซึ่งได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในระยะยาว จากกลุ่มชนชั้นกลางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน Valuation อยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูก โดย Forward P/E ของดัชนี CSI300 อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ -0.5 S.D.

MCHEVO : ลงทุนในหุ้นจีน All Shares ใน China Evolution Theme บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ 1. กลุ่มการบริโภค 2. กลุ่มเทคโนโลยี 3. กลุ่มอุตสาหกรรม 4. กลุ่มพลังงานสะอาด 5. กลุ่มยาและสุขภาพ

MRENEW : ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานยั่งยืนและพลังงานทดแทนทั่วโลก (Renewable Energy) ซึ่งเป็นธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันได้รับประโยชน์จากที่ยุโรปจะหันไปใช้พลังงานทางเลือกและเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดให้เร็วขึ้น อีกทั้ง ปัจจุบันราคาปรับฐานลงมาอยู่ในระดับราคาที่น่าสนใจลงทุน

Investment Strategy

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงในสัปดาห์ที่ผ่านมานำโดยดัชนี Nasdaq 100 โดยตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวลงมาแล้วประมาณ -10% ทำสถิติปรับตัวลดลงระหว่างเดือนสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งการปรับตัวลงเกิดขึ้นจากความกังวลต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดที่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ในการประชุมครั้งถัดไป

นอกจากนี้ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับปัจจัยลบจากตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงจากแรงกดดันของนโยบายการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อีกครั้ง

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2565 ลดลงเหลือ 3.6% ซึ่งเป็นการลดลงจากการคาดการณ์ในเดือน ม.ค. ที่ 4.4% โดยปัจจัยที่ทำให้ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกเป็นผลมาจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่อีกหนึ่งปัจจัยมาจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในหลายเมืองของรัฐบาลจีนซึ่งส่งผลกระทบกับอุปทานและความต้องการของสินค้าทั่วโลก

ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN-Index) ปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 6 เดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดมาแล้วประมาณ -10% ซึ่งการปรับตัวลงเกิดจากแรงกดดันที่ทางรัฐบาลเร่งปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน โดยมีเป้าหมายใหม่ที่การกวาดล้างตลาดการเงินของประเทศ ทั้งการใช้ข้อมูลภายในและการทำราคาหุ้น

นอกจากนี้ประเทศเวียดนามยังเป็นประเทศที่เน้นการส่งออก จึงอาจได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงในปีนี้ ในด้านปัจจัยพื้นฐานเราคาดว่าตลาดหุ้นเวียดนามมี Earning Growth ปี 2565 ที่ 26% ซึ่งสูงที่สุดในเอเชียและมีค่า Forward P/E ที่ 12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังในรอบ 5 ปี เราคาดว่าตลาดน่าจะเริ่มมีแรงรีบาวด์และเคลื่อนไหวออกข้าง (Sideway) เพื่อรอปัจจัยบวก อย่างไรก็ตามตลาดยังคงมีความผันผวนในระยะสั้น จึงแนะนำทยอยสะสมเพื่อการลงทุนในระยะยาว