TU ปักธง กำไรสูงสุดประวัติการณ์ทุกปี เพิ่มรายได้นวัตกรรม ปี68 มาร์จิ้น 20%

HoonSmart.com>>”ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป”มุ่งโมเดลธุรกิจนวัตกรรม เน้นกำไรโต สู่ความยั่งยืน เป้าปี 65-68 รายได้โตเฉลี่ย5% เดินหน้าผลักดันอัตรากำไรขั้นต้น 20% ภายในปี 68 ปีนี้ตั้งงบลงทุน 6 พันล้านบาทไม่รวมซื้อกิจการ เพิ่มความหลากหลายผลิตภัณฑ์ ออกแบรนด์ซีเล็คทูน่าผสมกัญชง  ขยายตลาดทูน่า ลงทุนในฟู้ดเทคสตาร์ทอัพเพิ่มขึ้น ปลายปีส่ง”ไอเทล” เข้าตลาดหุ้น ปักธงตลาดการเงิน Blue Finance ไทย-ญี่ปุ่น ระดมทุนง่าย ดอกเบี้ยต่ำลง

ธีรพงศ์ จันศิริ

นาย ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจในปี 2565-2568 รายได้จะเติบโตไม่มาก ประมาณ 5%ต่อปี จากปี 2564 ที่มีรายได้ 1.41 แสนล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งเป้าธุรกิจมาจากการใช้นวัตกรรมาสร้างรายได้ถึง 10% ของทั้งหมด และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 20% จากระดับ 18.2% ในปีก่อน ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตาม เพื่อนำไปสู่กำไรสุทธิสูงขึ้น

ส่วนการลงทุนในปี 2565 บริษัทตั้งงบจำนวน 6,000 ล้านบาท ไม่รวมธุรกิจใหม่และการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โดยการลงทุนจะคล้ายกับการลงทุนในช่วง 1-2 ปีที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เกิดจากวิธีคิดและกลยุทธ์เปลี่ยนแปลงไปจะไม่เน้นการเติบโต แต่จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เน้นธุรกิจอาหารที่มีนวัตกรรม ลงทุน Robot และ AI ทั้งนี้การซื้อกิจการมีทุกปี แต่ปีนี้จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับโอกาสและความน่าสนใจ ปัจจุบันมีศึกษาอยู่หลายโครงการ

บริษัทยังมีความสามารถในการลงทุน  จากการมีอัตราหนี้สินสุทธิ (D/E) ต่ำกว่า 1 เท่า และปีที่ 2564 บริษัทได้เริ่มออกหุ้นกู้ยั่งยืนขึ้นเป็นครั้งแรก ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่น บริษัทมีอันดับเครดิตที่ดี วางแผนจะเพิ่มสัดส่วนทางการเงินที่ยั่งยืน ( Blue Finance ) 50% ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าภายในปี 2568 จะมีสัดส่วน75% ของหนี้ระยะยาวที่มีอยู่ 4.5 หมื่นล้านบาท  ผลดีดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่าหุ้นกู้ปกติ โดยบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ในช่วงปี 2566-2567 ที่จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน

นอกจากนี้บริษัทยังมีกลยุทธ์ เน้นความหลากหลายธุรกิจ และขยายฐานลูกค้าและตลาดมากขึ้น ปัจจุบันมี อาหารทะเลกระป๋อง อาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น อาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้าเพิ่มมูลค่า กลุ่มธุรกิจส่วนประกอบอาหาร หรืออินกรีเดียนท์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โปรตีนทางเลือก โดยธุรกิจอาหารทะเลกระป๋อง และอาหารทะเลแช่แข็งแช่เย็น ยังคงเป็นธุรกิจหลัก ที่มีสัดส่วน 42% และ 41% ตามลำดับ ซึ่งเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 3% ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มีสัดส่วน 17% ซึ่งจะเป็น Growth Engine ใหม่ เพราะธุรกิจนี้มีแนวโน้มการเติบโตมากและทำกำไรได้ดี

แนวโน้มในปี 2566-2568 มีแผนจะขยายตลาดและพัฒนาสินค้าโปรตีนทางเลือกที่มองว่าตลาดในไทยมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างสูง เนื่องจากคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ จะมีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรีไซเคิลได้

ปัจจุบันบริษัทมีตลาดใหญ่อยู่ในสหรัฐและแคนาดา สัดส่วน 45% และยุโรป 28% ส่วนในประเทศไทยมีสัดส่วน 10% ของยอดขายนั้น บริษัทมีแบรด์ของตัวเอง “Select” ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 58% และเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.4% ขณะที่ภาพรวมตลาดทูน่าเติบโตไม่ถึง 1% เป็นผู้นำตลาดทูน่าในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา มีแผนจะขยายตลาดไปสิงคโปร์ และมาเลเซีย นอกจากนี้บริษัทเตรียมออกสินค้าซีเล็คทูน่ากัญชงภายในปีนี้ ขณะนี้รอกฎหมายและข้อบังคับ และยังพัฒนาทูน่ากัญชาด้วย รวมถึงออกสินค้าใหม่แล้ว ซีเล็คทูน่าในน้ำมันมะกอก

ส่วนสงครามยูเครนบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เช่นเดียวกับราคาน้ำมันสูงขึ้น  แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น บริษัทได้ปรับราคาขึ้น 5-7% และส่วนที่รับจ้างผลิตก็สามารถปรับราคาตามคำสั่งซื้อ

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทแยกธุรกิจมีแผนนำ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (เดิมชื่อ บริษัท สงขลาแคนนิ่ง) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในสิ้นปี 2565 นับเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง 100% เพียงแห่งเดียว ที่ยังเติบโตได้อีก3-5 ปี  ตลาดที่จีนเพิ่งเริ่มต้น มีการลงทุนเรื่องความยั่งยืนของสัตว์เลี้ยง สุขภาพดีด้วย มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิต เพิ่มสารอาหาร

ขณะเดียวกันบริษัทจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือจากธุรกิจสตาร์อัพด้านเทคโนโลยีอาหาร มีงบลงทุนประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใช้ไปแล้วกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ จะผลักดันนวัตกรรมใหม่เข้ามาอย่างเนื่องไปถึงปี 2568 ได้แก่ กลุ่มธุรกิจส่วนประกอบอาหาร คอลลาเจนเปปไทด์ แคลเซียมจากกระดูกทูน่า น้ำมันปลาทูน่า ในแบรนด์ Zeavita , กลุ่ม suppliment ที่นำสินค้า Food Ingredients เข้าสู่ B2C และ กลุ่มโปรตีนทางเลือก รวมทั้งยังมีการร่วมทุนในกิจการร่วมค้า (JV) ด้านผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ และขยายการลงทุนในสตาร์อัพ เพิ่มความร่วมมือกับฟู้ดเทคสตาร์ทอัพ

ส่วนการลงทุนในสตาร์อัพ Flying Spark มีความคืบหน้า นำเข้าไปจดทะเบียนในตลาาดหุ้นอิสราเอล  เข้ามาลงทุนในประเทศไทย จะเริ่มโรงงานเสร็จเดือนพ.ค.-มิ.ย.นี้ มีการผลิตในประเทศไทยในปีนี้ และมีโอกาสเติบโต  นอกจากนี้สตาร์อัพสิงคโปร์ ผลิตแป้งสำหรับคนเป็นเบาหวาน จะผลิตที่โรงงานสมุทรสาคร ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงการลงทุน AI  มาช่วยเลี้ยงสัตว์น้ำจากเยอรมนี นำประสบการณ์เพาะเลี้ยงมาช่วยในประเทศไทย

” ในปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 8,013 ล้านบาท และรายได้มากกว่า 1.4 แสนล้านบาท  สูงสุดเป็นประวัติการณ์  โดยเฉพาะไตรมาส 4 มีกำไรสูงถึง 1,930 ล้านบาท เติบโต 32.5% ขณะเดียวกันก็ได้รับรางวัลเรื่องความยั่งยืน ทั้งในประเทศ และระดับโลก   ตามพันธกิจมุ่งสร้าง “การมีสุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์”    โดยบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้นำกลับมาใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้สำหรับผลิตภัณฑ์แบรนด์ของบริษัทภายในปี 2568  จัดการปัญหาโลกร้อนด้วยเป้าหมายทางหลักวิทยาศาสตร์ (Science-Based Targets) และจะมีการประกาศรายละเอียดในไตรมาส 2 ปีนี้ ลดขยะอาหารในการผลิตให้ได้50% ในการผลิตอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง แช่เย็นและแช่แข็ง ภายในปี 2568 จากปีฐาน 2564″ นายธีรพงศ์กล่าว